หน้าแรก ข่าวบันเทิง Sonic The Hedgehog 3 เข้าฉาย 25 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสเวลาแห่งความสุขและความสนุกครั้งยิ่งใหญ่

Sonic The Hedgehog 3 เข้าฉาย 25 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสเวลาแห่งความสุขและความสนุกครั้งยิ่งใหญ่

212
0

Sonic The Hedgehog 3 เข้าฉาย 25 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสเวลาแห่งความสุขและความสนุกครั้งยิ่งใหญ่

SONIC THE HEDGEHOG โซนิค เดอะ เฮดจ์ฮ็อก จะกลับมาจอสู่ยักษ์อีกครั้ง เตรียมพบกับการผจญภัยสุดระทึกของโซนิค, นักเคิลส์ และเทลส์ ที่ต้องเผชิญหน้ากับชาโดว์ ศัตรูทรงพลังรายใหม่ที่มาพร้อมความลึกลับในแบบที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน ด้วยความสามารถของพวกเขาที่ด้อยกว่าในทุกทาง ทีมโซนิคจึงต้องหาพันธมิตรมาต่อสู้กับชาโดว์เพื่อที่จะปกป้องโลก

เจฟฟ์ ฟาวเลอร์ กลับมารับหน้าที่ผู้กำกับภาพยนตร์ พร้อมกับการกลับมาของจิม แครี่, เบน ชวอร์ตซ์, เจมส์ มาร์สเดน, ทิกา ซัมป์เตอร์, อิดริส เอลบา, คอลลีน โอ’ชอเนสซี, นาตาชา รอธเวลล์, ชีมาร์ มัวร์, อดัม แพตตี้, ลี มาจดูบ พร้อมด้วยทีมใหม่อย่างอลิลา บราวน์, คริสเทน ริทเทอร์ และคีอานู รีฟส์ ที่มาร่วมแฟรนไชส์ พากย์เสียง ชาโดว์ เดอะ เฮดจ์ฮ็อก

ทีมโซนิคกลับคืนสู่จอใหญ่อีกครั้งในการผจญภัยท่องโลกใน Sonic the Hedgehog 3 ภาคใหม่เอี่ยม หลังจากที่พวกเขามีชัยชนะเด็ดขาดเหนือดร.โรบ็อทนิค (จิม แคร์รี่ย์) ผู้ชั่วร้าย โซนิค (เบน ชวาร์ตซ์) และผองเพื่อนของเขา เทลส์ (คอลลีน โอ’ เชาเนซีย์) และนัคเคิลส์ (อิดริส เอลบ้า) ก็ได้ลงหลักปักฐานในกรีน ฮิลส์ เพื่อดื่มด่ำกับความสุขที่เรียบง่ายของชีวิตครอบครัวกับทอมและแม็ดดี้ วาโชว์สกี้ (เจมส์ มาร์สเด็นและทีก้า ซัมป์เตอร์) ในตอนที่คำขอเร่งด่วนจากจี.ยู.เอ็น. มารบกวนทริปแคมปิ้งในชนบทของพวกเขา

หลังจากที่พวกเขาถูกส่งตัวไปญี่ปุ่นเพื่อหยุดยั้งการโจมตีจากศัตรูที่ดูเหมือนจะร้ายกาจเกินกว่าจะรับมือไว้ พวกเขาก็ได้เริ่มต้นการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต จากท้องถนนในกรุงลอนดอนและโตเกียว สู่ห้องทดลองลับในภูเขา และสูงขึ้นไปในห้วงอวกาศ โซนิค, นัคเคิลส์และเทลส์จะถูกทดสอบจนถึงขีดจำกัดของพวกเขาในการเร่งรีบแข่งกับเวลาชนิดชวนหัวใจวายเมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับชาโดว์ คู่ปรับที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเจอมา

ผู้กำกับเจฟฟ์ ฟาวเลอร์กลับมาสู่ภาคใหม่ล่าสุดของหนึ่งในแฟรนไชส์ภาพยนตร์จากวิดีโอเกมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ Sonic the Hedgehog 3 ที่อัดแน่นไปด้วยแอ็กชั่น ดนตรี ความตลกขบขันและเรื่องเซอร์ไพรส์ที่จะสร้างความครื้นเครงให้กับทั้งแฟนพันธุ์แท้และแฟนกลุ่มใหม่ของแฟรนไชส์นี้ ยังจะทำให้แฟนที่เหนียวแน่นของเรื่องได้เจอกับ เม่นชาโดว์ ตัวละครขวัญใจแฟนๆ ที่พากย์เสียงโดยคีอานู รีฟส์ ดารานักบู๊อีกด้วย

Knuckles (Idris Elba) in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Shadow (Keanu Reeves) in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Jim Carrey as Ivo Robotnik and Sonic (Ben Schwartz) in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Lee Majdoub as Agent Stone and Jim Carrey as Ivo Robotnik in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Jim Carrey as Ivo Robotnik in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Lee Majdoub as Agent Stone, Tails (Colleen O’Shaughnessey), Sonic (Ben Schwartz) and Knuckles (Idris Elba) in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
James Marsden as Tom and Tika Sumpter as Maddie in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Krysten Ritter as Director Rockwell in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Knuckles (Idris Elba), Sonic (Ben Schwartz) and Tails (Colleen O’Shaughnessey) in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Sonic (Ben Schwartz) in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Tails (Colleen O’Shaughnessey) in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Shadow (Keanu Reeves) in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Shadow (Keanu Reeves) in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Shadow (Keanu Reeves) in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Shadow (Keanu Reeves) in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Shadow (Keanu Reeves) and Alyla Browne as Maria in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.
Jim Carrey as Gerald Robotnik in Sonic the Hedgehog 3 from Paramount Pictures and Sega of America, Inc.

เกี่ยวกับงานสร้าง

ในปี 2020 ผู้ชมทั่วโลกต่างก็ตกหลุมรักเจ้าเม่นสายฟ้าตัวสีฟ้าสดใสที่ว่องไวราวสายฟ้าแลบที่เป็นที่รู้จักในชื่อของ โซนิค ในตอนที่เขาเปิดตัวบนจอเงินใน Sonic the Hedgehog ภาพยนตร์ภาคแรก ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากไลน์วิดีโอเกมขายดี ซีรีส์แอนิเมชั่น หนังสือการ์ตูนและอื่นๆ ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1991 ของเซก้า กวาดรายได้ไป 320 ล้านเหรียญทั่วโลก ในขณะที่ Sonic the Hedgehog 2 ซีเควลในปี 2022 ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่สร้างจากวิดีโอเกม ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์

บัดนี้ เจ้าเม่นสายฟ้าตัวน้อยและผองเพื่อนของเขากำลังจะกลับคืนสู่จอเงินอีกครั้งใน Sonic the Hedgehog 3 ภาคใหม่ล่าสุดในตำนานเม่นต่างดาวแสนน่ารักระหว่างที่เขากำลังปรับตัวให้เข้ากับชีวิตบนโลก ใน Sonic the Hedgehog 3 การผจญภัยที่เต็มไปด้วยแอ็กชั่นและความตลกขบขันที่ผสมผสานระหว่างไลฟ์แอ็กชั่นและตัวละคร CG น่ารักๆ ได้อย่างกลมกลืน ได้นำโซนิคและเพื่อนของพวกเขาอย่างนัคเคิลส์และเทลส์มาปะทะกับวายร้ายลึกลับ ที่มีพลังแตกต่างจากคู่ปรับคนอื่นๆ ที่พวกเขาเคยเจอมาก่อน

เจฟฟ์ ฟาวเลอร์ ผู้กำกับ Sonic ทั้งสามภาค มองว่าตัวเองเป็นแฟนที่เหนียวแน่นของทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Sonic ด้วยตำนานกว่า 30 ปีให้ได้ค้นคว้า ฟาวเลอร์รู้ดีว่าผู้ติดตามแฟรนไชส์นี้จะคาดหวังให้ตัวภาพยนตร์ยังคงซื่อตรงต่อตำนานที่สืบทอดมายาวนานนี้ “นี่เป็นโลกที่วิเศษสุดที่เราจะบอกเล่าเรื่องราวในนั้น ด้วยตัวละครเยี่ยมๆ มากมายเหลือเกินครับ” ฟาวเลอร์กล่าว “เราต้องการจะต่อยอดจากตรงนั้น แต่เราก็ยังอยากจะสร้างความแปลกใจให้กับแฟนๆ ด้วยการใส่จุดหักมุมเข้าไปในเรื่องราวและตัวละครที่พวกเขารู้จักและรักด้วย นอกจากนั้น กับหนังแต่ละเรื่อง เรายังอยากจะยกระดับความน่าตื่นตาตื่นใจและฉากแอ็กชั่น ที่คู่ควรกับสิ่งที่เกมได้สร้างเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ดี เราก็จะยังคงซื่อตรงต่อสิ่งที่แฟนๆ รักเสมอ เพราะพวกเขาเป็นเหตุผลให้เรามาถึงตรงนี้ในวันนี้ครับ”

นับตั้งแต่ภาคแรก โซนิคได้พัฒนาตัวเองจากเอเลียนต่างดาวที่มองหาความผูกพันไปสู่การเป็นสมาชิกของครอบครัวที่สนิทสนมกลมเกลียวกันและผู้ที่จะกลายเป็นฮีโร ใน Sonic the Hedgehog 2 เขาได้สานสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ นัคเคิลส์และเทลส์ เพื่อก่อตั้งทีมซูเปอร์ฮีโร ที่ผสมผสานความสามารถพิเศษของพวกเขาเพื่อต่อสู้กับเหล่าร้าย ใน Sonic the Hedgehog 3 ทั้งสามและพ่อแม่บุญธรรมของพวกเขา ทอมและแมดดี้ ได้ถูกท้าทายด้วยคู่ปรับใหม่และความรับผิดชอบใหม่ๆ ที่ช่วยยกระดับอันตรายให้สูงลิบลิ่วแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ผู้อำนวยการสร้างนีล เอช. มอริทซ์และโทบี้ แอชเชอร์ ผู้กลับมาแฟรนไชส์นี้เป็นครั้งที่สาม ร่วมกับผู้อำนวยการสร้างโทรุ นากาฮาระและฮิโตชิ โอคุโนะที่เซก้า ได้นำทักษะพิเศษของพวกเขาเองมาใช้ แม้ว่ามอริทซ์จะยอมรับว่าในตอนที่เขาร่วมทีมนี้ เขาไม่ค่อยรู้อะไรเลยเกี่ยวกับเกมนี้ แต่มันก็นำมาซึ่งความได้เปรียบของทั้งคู่และภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน “โทบี้เป็นแฟนพันธุ์แท้อยู่แล้ว” เขาตั้งข้อสังเกต “ระหว่างเรา เราสามารถสร้างหนังที่สร้างความพอใจให้กับทั้งผู้ชมที่รักและรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโซนิคอยู่แล้ว และผู้ชมอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งได้ทำความรู้จักกับโลกใบนี้ได้ครับ”

Sonic the Hedgehog 3 นำมาซึ่งภัยคุกคามใหญ่หลวงครั้งใหม่ นั่นคือเม่นชาโดว์ ชาโดว์ คู่ปรับตัวฉกาจ ความรวดเร็ว พลกำลังและความสามารถในการเคลื่อนที่ในชั่วพริบตาของชาโดว์ดึงดูดความสนใจของการ์เดียน ยูนิทส์ ออฟ เนชันส์ (จี.ยู.เอ็น.) กองกำลังทหารและรักษาความมั่นคงนานาชาติที่ลึกลับ ซึ่งแช่แข็งการเคลื่อนไหวของเขามานาน 50 ปีจนกระทั่งแฮ็กเกอร์ลึกลับได้จัดแจงให้เขาหลบหนีและเขาก็ปรากฏตัวด้วยความกระหายอยากแก้แค้นมนุษยชาติ

“ชาโดว์ได้ถูกแนะนำเข้ามาในเกมที่ชื่อว่า ‘Sonic Adventure 2’ ครับ” ฟาวเลอร์ตั้งข้อสังเกต “เขาได้รับความนิยมพอๆ กับโซนิคอย่างรวดเร็ว เขาแข็งแกร่งกว่านัคเคิลส์และเร็วกว่าโซนิค มันเป็นตัวกำหนดเส้นทางสำหรับความเป็นปรปักษ์ที่วิเศษสุดครับ”

นอกจากนี้ ทั้งสามยังต้องเผชิญหน้ากับการกลับมาของดร.อิโว โรบ็อทนิค คู่ปรับเก่าแก่ของพวกเขาด้วย หลังจากที่ต้องพ่ายแพ้ย่อยยับด้วยฝีมือของทีมโซนิคในภาคที่แล้ว โรบ็อทนิคก็ต้องพบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก “เขาทำใจไม่ได้กับความพ่ายแพ้ครับ” ฟาวเลอร์กล่าว “โรบ็อทนิคเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก เขามีไอเดียเยี่ยมๆ มีโดรนและเครื่องยนต์กลไกมากมาย แต่ในตอนที่เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เขากลับตกอับ และเขาก็มองว่าโซนิคและเพื่อนๆ เป็นผู้ที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้”

และเป็นครั้งแรกที่โรบ็อทนิคจะได้ร่วมมือกับเจอรัลด์ คุณปู่วัย 110 ปีของเขาที่หน้าตาเหมือนเขาเปี๊ยบ ผู้ใช้เวลาตลอด 50 ปีที่ผ่านมาอยู่ในคุกเพื่อพยายามจะช่วยให้ชาโดว์หลบหนีจากเงื้อมมือของจี.ยู.เอ็น.ให้ได้

 

หากพวกเขาต้องการจะโค่นศัตรูที่อันตรายแบบนี้ลงให้ได้ โซนิคจะต้องก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ของตัวเอง “เขาต้องเรียนรู้ความหมายของการเป็นผู้นำครับ” ฟาวเลอร์กล่าว “เขาจะต้องลำบากซักนิด แต่เขาก็จะยึดมั่นกับคำแนะนำที่ทอมและแมดดี้เคยให้ไว้กับเขาที่ว่า ไม่ว่าคุณจะเจอความท้าทายแบบไหน จงซื่อตรงต่อตัวเอง และคุณก็จะทำการตัดสินใจที่ถูกต้องในตอนที่สำคัญที่สุด น่ะครับ”

ตลอดเรื่องราวในภาพยนตร์สามเรื่องและซีรีส์สปินออฟ ฟาวเลอร์, แอชเชอร์และมอริทซ์ได้สานสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นพอๆ กับตัวละครทั้งสามในเรื่อง “เจฟฟ์ ฟาวเลอร์เป็นคู่หูที่เหลือเชื่อ” แอชเชอร์กล่าว “เรารู้สึกเหมือนว่าเรารู้เสมอว่าเจฟฟ์คิดอะไรอยู่และเจฟฟ์ก็รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ มันกลายเป็นการร่วมมือกันที่เหลือเชื่อเลยล่ะ”

การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต

คู่หูเขียนบท แพท เคซีย์และจอช มิลเลอร์ เป็นแฟนที่เหนียวแน่นของ Sonic จริงๆ แล้ว มิตรภาพของพวกเขาเริ่มต้นตั้งแต่สมัยไฮสคูล ในตอนที่พวกเขาได้เล่นเกมต้นฉบับด้วยกัน “ตอนที่หนังภาคแรกเข้ามา เรารู้จักและรักตัวละครตัวนี้อยู่แล้วครับ” มิลเลอร์กล่าว “เราได้เห็นเขาเติบโตขึ้นเล็กน้อยระหว่างเรื่องราวในแฟรนไชส์นี้ ใน Sonic the Hedgehog 3 เขาได้เผชิญหน้ากับความท้าทายที่แตกต่างจากทุกอย่างที่เขาเคยเห็นมา”

“เราตั้งเป้าไว้ว่าจะสร้างหนังพวกนี้สำหรับผู้ชมทั่วๆ ไป ดังนั้น คุณก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักเกมนี้มาก่อนครับ” เคซีย์กล่าวเสริม “แต่ถึงแม้คุณจะไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มไปกับโซนิค มันก็จะมีอะไรมากกว่านั้นสำหรับคุณ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งของเสน่ห์ความเป็นสากลของมันคือโซนิคเป็นเด็กแต่ทุกคนก็สามารถมองเห็นตัวเองในตัวเขาด้วย มีอะไรบางอย่างที่น่ารักเหลือเกินเกี่ยวกับโซนิคและตัวละครตัวอื่นๆ พวกเขามีสีสันสดใสและน่ารัก จนคุณอยากจะอุ้มพวกเขาขึ้นมากอดครับ”

มิลเลอร์กล่าวว่า อีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้แฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยมคือสมดุลที่เขาและเคซีย์ต้องการจะสร้างขึ้นระหว่างความสนุกสนานและแอ็กชั่น “จุดสมดุลที่ผสมผสานทั้งสองอย่างนั่นอยู่ในความคิดของเราเสมอในตอนที่เราไปพูดคุยกับเจฟฟ์และผู้อำนวยการสร้างเพื่อวางแผนเรื่องราวใหม่ครับ” เขากล่าว “สัตว์ที่ทำตัวเหมือนมนุษย์มักทำให้เกิดอารมณ์ขำขันเสมอ แต่เราก็ต้องสร้างมุขตลกดีๆ พร้อมไปกับการมองเรื่องราวอย่างจริงจังด้วย สิ่งสำคัญอยู่ที่การหาวิธีสร้างแอ็กชั่นยิ่งใหญ่ที่น่าตื่นเต้นและมีสีสัน เทียบเท่ากับสิ่งที่คุณจะได้เห็นในหนังสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ฟอร์มยักษ์ แต่ก็ยังคงเกาะเกี่ยวความตลกขบขันนั้นเอาไว้ไม่ปล่อยครับ”

ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งผสมผสานระหว่างแอนิเมชั่นและไลฟ์แอ็กชั่น มีข้อได้เปรียบสำคัญอย่างหนึ่งเหนือภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นธรรมดา ตามที่เคซีย์ได้บอกเอาไว้ “เราเล่นใหญ่ได้ครับ” เขาอธิบาย “ในไลฟ์แอ็กชั่น ถ้าคุณอยากให้เฮลิคอปเตอร์ชนกัน ผู้อำนวยการสร้างอาจจะบอกว่าเราทำไม่ได้ แต่ในหนังเรื่องนี้ เราทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น รวมถึงการระเบิดดวงจันทร์ด้วย! เจฟฟ์เป็นอัจฉริยะด้านภาพวิชวล เราก็เลยแน่ใจได้ว่าไม่ว่าเราจะเขียนอะไรลงไป เขาก็จะทำให้มันดูเจ๋ง เราตัดสินใจที่จะไม่เพียงแต่ส่งโซนิคไปทั่วโลกเท่านั้น แต่เรายังจะส่งเขาไปอวกาศด้วย สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นคงจะเป็นไปไม่ได้ในหนังไลฟ์แอ็กชั่น แต่เจฟฟ์ อัจฉริยะด้านวิชวล เอฟเฟ็กต์และทีมสตันท์มากพรสวรรค์ทำให้มันออกมาดูยอดเยี่ยมครับ”

จอห์น วิททิงตัน มือเขียนบทร่วมของ Sonic the Hedgehog ถูกนำตัวเข้ามาในภาคแรกเพื่อช่วยปรับแต่งบทภาพยนตร์ที่มีอยู่แล้วและสานต่องานนั้นในทั้งสามภาค นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ร่วมสร้างและผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์สปินออฟทางพาราเมาท์ พลัสเรื่อง “Knuckles” ด้วย “ผมโตขึ้นมาด้วยการเล่นเกมเซก้าครับ” เขากล่าว “ตอนนี้ ผมภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการนำตัวละครและความสัมพันธ์ของพวกเขามาโลดแล่นบนจอเงิน มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่ได้เห็นแนวทางที่เรื่องราวและสเกลของหนังแต่ละภาคถูกยกระดับขึ้นมา มาตรฐานมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ในแง่ของระเบิดและการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์และมิตรภาพระหว่างตัวละครที่ยิ่งใหญ่ขึ้นด้วย”

ตัวละครตัวโปรดที่เขาชอบเขียนถึงคือดร.โรบ็อทนิค “ผมเปิดแอพคลังคำในคอมพิวเตอร์ของผมเสมอเพราะเขาต้องใช้คำที่ให้ความรู้สึกเหมือนคำถามจากการสอบ SAT ที่อัดยาสเตียรอยด์น่ะครับ การมีตัวละครสองตัวแบบนั้นเป็นความท้าทายสองเท่า แต่ก็เป็นความสนุกสองเท่าด้วยครับ”

โซนิค, เทลส์และนัคเคิลส์อาจจะไม่ใช่มนุษย์ แต่วิททิงตันเชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ “พวกเขาต้องเจอกับปัญหาในชีวิตประจำวันของความพยายามที่จะตามหาความสัมพันธ์ ความพยายามที่จะตามหาเพื่อน  ความพยายามที่จะตามหาครอบครัว และความพยายามที่จะตามหาความสงบสุขในโลกที่แสนเพี้ยนนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกเหมือนเป็นคนนอก ทุกคนรู้สึกเหมือนไม่มีที่ทางที่เป็นของตัวเอง การมองตัวละครเหล่านี้ตามหาความสัมพันธ์ผ่านทางประสบการณ์ที่ตลกและน่าตื่นเต้นเป็นความสุขอย่างหนึ่งครับ”

ทีมโซนิค

Sonic the Hedgehog 3 ได้ต้อนรับทีมนักแสดงระดับแนวหน้าของแฟรนไชส์กลับมา เสริมทัพด้วยนักแสดงใหม่สำหรับแฟรนไชส์นี้ “เราตื่นเต้นสุดๆ ครับ” ฟาวเลอร์กล่าว “เราได้เบน ชวาร์ทซ์กลับมาพากย์เสียงโซนิค ได้คอลลีน โอ’ เชาเนซีย์มาพากย์เสียงเทลส์ อิดริส เอลบ้ามาพากย์เสียงนัคเคิลส์ เจมส์ มาร์สเด็นมาพากย์เสียงโดนัท ลอร์ดหรือนายอำเภอทอม วาโชว์สกี้ ทีก้า ซัมป์เตอร์มารับบทแมดดี้ วาโชว์สกี้ และจิม แคร์รี่ย์ ที่หาตัวจับยาก มารับบทสำคัญ ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่เป็นสองบท เอเจนท์สโตน สมุนของโรบ็อทนิค แสดงโดยลี มัจดูบเหมือนเดิม ส่วนนาตาชา ร็อธเวลและเชมาร์ มัวร์ก็ได้รับบทคามีโอเป็นคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามัน ราเชลและแรนดัลล์ อดัม แพลลีโผล่เข้ามารับบทท่านรองเว้ด ตัวตลกขวัญใจของทุกคน และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ตัวละครใหม่ของเรา เม่นชาโดว์ รับบทโดยคีอานู รีฟส์ นี่เป็นทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เราจะจินตนาการได้”

การแสดงบทโซนิคที่มีชีวิตชีวา แปลกประหลาดและตรงไปตรงมาของมือเขียนบทรางวัลเอ็มมี นักแสดงสแตนด์อัพที่ประสบความสำเร็จและนักแสดงยอดนิยม ชวาร์ทซ ทำให้เขาเป็นหัวใจของแฟรนไชส์นี้ ฟาวเลอร์กล่าว “เบนเป็นส่วนสำคัญของความตลกของโซนิคครับ เราเลือกเขามาเพราะเรารู้ว่าเขาเป็นนักแสดงที่กระตือรือร้น ตลกและมีพรสวรรค์มากแค่ไหน เขาใส่ใจโซนิคมากๆ การได้เห็นว่ามันมีความหมายมากแค่ไหนต่อเด็กๆ ทั่วโลกมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเขาและพวกเราทุกคน เราพยายามจะสร้างรากฐานอารมณ์ที่แท้จริงให้กับตัวละครตัวนี้ในแบบที่เด็กๆ จะเข้าใจและผู้ใหญ่จะเพลิดเพลินไปกับมัน และเบนก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมครับ”

ด้วยฝีมือที่เปี่ยมจินตนาการของชวาร์ทซ์ โซนิคกลายเป็นตัวขนฟูที่เต็มไปด้วยพลังงานบ้าคลั่งและอารมณ์ขันสุดฮา “การทำให้คนหัวเราะเป็นความรู้สึกที่งดงามครับ” นักแสดงหนุ่มกล่าว “ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการทำให้ผู้คนจำนวนมากหัวเราะด้วยกันและมันก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมชื่นชอบที่สุดในจักรวาล การได้ทำแบบนั้นสำหรับเด็กๆ ในฐานะโซนิคทำให้ผมตื่นเต้นสุดๆ ไปเลยครับ”

การสร้างมุขตลกอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ทำให้เสียงหัวเราะดังขึ้นและมีความหมายยิ่งขึ้น เขาเชื่อเช่นนั้น “คุณจะรู้สึกถึงความผิดหวังที่ลึกซึ้งขึ้นในตอนที่คุณเป็นห่วงเป็นใยโซนิคครับ” ชวาร์ทซ์กล่าว “แน่นอนว่าเขาเป็นเม่นสีฟ้าที่วิ่งเร็วมากๆ แต่เขาก็มีความรู้สึกด้วยเช่นกัน เขารู้สึกถึงความอ้างว้างและความเสียใจ และบางครั้ง เขาก็รู้สึกเหมือนเขาดีไม่พอ บางครั้ง เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีได้ยังไงและทุกคนก็สามารถเข้าใจความรู้สึกแบบนั้นได้ครับ”

ตามที่แอชเชอร์กล่าว ชวาร์ทซ์เป็นหนึ่งในนักแสดงด้นสดที่ดีที่สุดในโลก “เบนนำเสนออะไรมากมายให้กับหนันงเรื่องนี้ ทั้งด้วยการแสดงและความสามารถในการพัฒนาและสร้างสรรค์บทพูด ทุกครั้งที่เราเข้าร่วมเซสชันเสียงกับเขา เราก็จะได้สิ่งใหม่ ที่แตกต่าง และคาดไม่ถึงกลับออกมาครับ”

การแสดงของชวาร์ทซ์ยังทำให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าทำไมโซนิคถึงมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการรับผิดชอบนัคเคิลส์และเทลส์ ฟาวเลอร์กล่าว “เขาเคยชินกับการพุ่งตรงเข้าสู่การต่อสู้โดยไม่คิดทบทวนอะไรทั้งนั้น แต่ตอนนี้เขาต้องคิดให้ได้ว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเขาเสมอไป บางครั้ง คุณก็ต้องดูแลคนอื่นด้วย เขาอาจจะทำผิดพลาดบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราก็รู้ว่าเขาจะชนะครับ”

ใครก็ตามที่ชอบภาพยนตร์ภาคก่อนหน้านี้จะต้องชอบเรื่องนี้ ชวาร์ทซ์ให้คำสัญญา “เราได้ระเบิดขอบเขตออกไปครับ” เขากล่าว “มีการต่อสู้ในอวกาศ มีโรบ็อทนิคสองคน รูปแบบสิ่งมีชีวิตขั้นสูงสุดจะทำลายล้างโลกหากทีมนัคเคิลส์, เทลส์และโซนิคไม่สามารถหยุดเขาได้ นี่คือการต่อสู้ที่หฤโหดที่สุดของโซนิคและเขาก็จะถูกกระแทกจนล้มลงสองสามครั้ง แต่เขาก็สามารถกลับมาได้อย่างแข็งแกร่ง”

อิดริส เอลบ้า ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสองรางวัลบาฟตา รับบทเป็นนัคเคิลส์ นักรบเอคิดนาจากต่างดาว ผู้มีหน้าที่ปกป้องมาสเตอร์เอเมอรัลด์ หินโบราณที่มอบพลังอันไร้ขีดจำกัดให้กับผู้ที่ถือครองมัน พลังนี้เป็นความเสี่ยงมากเกินกว่าจะปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่สมควรจะครอบครองมัน

ในบทนัคเคิลส์ เอลบ้าเล่นเป็นตัวละครที่เคร่งขรึมเพื่อสร้างเสียงหัวเราะ “เขาเป็นที่รู้จักดีจากบทบาทดรามาและแอ็กชั่น” ฟาวเลอร์กล่าว “การได้ทำตัวตลกถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีสำหรับเขา เสียงของเขามีความจริงจังมากจนทำให้ทุกสิ่งที่เขาพูดดูมีน้ำหนักมาก แม้แต่บทพูดธรรมดาๆ ก็ทำให้คนหัวเราะออกมาได้เมื่อออกมาจากปากของอิดริส เขามีด้านตลกที่เขาไม่ค่อยได้แสดงออกมา และเขาก็ชอบที่ได้เผยแง่มุมนั้นครับ”

การแสดงที่ตลกขบขันของเอลบ้าใน Sonic the Hedgehog 2 เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดแนวคิดในการสร้างซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง “Knuckles” ที่มีความยาว 6 เอพิโซด ที่ติดตามตัวละครของเขาในช่วงเวลาระหว่างสองภาคแรก “การได้กลับมารับบทนัคเคิลส์คนเดิมอีกครั้งทำให้รู้สึกดีเสมอ” นักแสดงกล่าว “เขาเป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยม และผมก็พูดได้อย่างมั่นใจว่าตอนนี้ผมเข้าถึงตัวละครนั้นได้เต็มที่แล้ว ในภาคแรก แค่พูดคำว่าเอคิดนา ผมก็ลำบากแล้ว แต่ตอนนี้ ผมพูดจนคล่องปากแล้วครับ”

นัคเคิลส์กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวขยายวาโชว์สกี้ “เขายังมีความพิลึกในแบบของตัวเอง แต่เขาก็เริ่มปรับตัวได้” เอลบ้ากล่าว “ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและโซนิคเป็นไปด้วยดี เสียงของพวกเขาแตกต่างกันมาก นัคเคิลส์มีเสียงที่ทุ้มต่ำจริงๆ และเขาก็พูดอย่างช้าๆ บางครั้ง เขาพูดแค่คำเดียวด้วยซ้ำ ในขณะที่โซนิคพูดรัวเป็นปืนกลเลย ลักษณะที่นัคเคิลส์พูดจริงจังมากจนกลายเป็นเรื่องตลกครับ”

นักแสดงหนุ่มชื่นชอบความจริงที่ว่าโลกของโซนิคขับเคลื่อนด้วยจินตนาการล้วนๆ “เราทุกคนรู้ดีว่าเม่นเคลื่อนไหวไม่เร็วเท่าไหร่ และพวกมันก็ไม่ได้ตัวสีฟ้าด้วย แต่ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ นี่คือประสบการณ์ที่คุณไม่อยากพลาด และอย่าลืมบอกคนอื่นด้วยนะครับว่า นี่เป็นหนังสำหรับทุกคน”

คอลลีน โอ’ เชาเนซีย์ ผู้ให้เสียง เทลส์ จิ้งจอกแสนฉลาด มีส่วนร่วมในโลกของโซนิคมาตั้งแต่เกมแรกๆ ที่เธอรับบทเป็นผึ้งชาร์มี่ “คอลลีนรู้จักเทลส์เป็นอย่างดีครับ” ฟาวเลอร์กล่าว “การทำงานร่วมกับคนที่มีความรู้เกี่ยวกับตัวละครนี้มากกว่าผมถือเป็นเรื่องดี เธอรู้ดีว่าเราต้องการอะไร และรู้ว่าจะเสนอทางเลือกให้เราได้อย่างไรเพื่อช่วยเราสร้างฉากต่างๆ ขึ้นมา และเธอเป็นคนที่ทำงานด้วยสนุกมาก เธอเป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี และมีชีวิตชีวา เหมือนกับเทลส์มากๆ”

โลกของโซนิคเป็นของขวัญที่ถูกส่งมอบให้อย่างต่อเนื่องสำหรับนักแสดงสาว โอ’ เชาเนซีย์พากย์เสียงเทลส์ในวิดีโอเกม รวมถึงในซีรีส์สปินออฟอย่าง “Knuckles” ด้วย “มันยังเซอร์เรียลอยู่นิดๆ ค่ะ” เธอกล่าว “ความรักที่ฉันได้รับจากการเล่นตัวละครตัวนี้มันมากมายเหลือเกิน แฟน ๆ ของ Sonic ถือเป็นแฟนตัวยงที่สุดในโลก และพวกเขาก็มีความคิดเห็นเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน! ในตอนที่พวกเขาชอบสิ่งที่คุณทำ นั่นถือเป็นคำชมที่ยิ่งใหญ่มาก จนบางครั้งมันก็ทำให้ฉันตื้นตันสุดๆ เลยค่ะ”

มีเม่นตัวใหม่ในเมือง

ผู้สร้างภาพยนตร์รู้ดีว่าพวกเขาต้องการตัวร้ายที่พิเศษมากสำหรับโซนิคในภาพยนตร์ล่าสุดนี้ ใครสักคนที่สามารถสร้างความประหลาดใจให้เขาและเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย “เราอยากท้าทายฮีโรของเราอยู่เสมอเพื่อให้เขากลายเป็นเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิมของตัวเอง” ฟาวเลอร์กล่าว “เมื่อพิจารณาจากคลังตัวละครมากมายที่เราต้องทำงานด้วย ทุกคนในทีมของเรารู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่จะเพิ่มชาโดว์เข้ามา”

ชาโดว์ ผู้เป็นตัวละครที่แฟนๆ ชื่นชอบตั้งแต่เปิดตัวในวิดีโอเกม เป็นตัวละครลึกลับ อารมณ์บูดบึ้ง ผู้มีเรื่องราวเบื้องหลังที่เปี่ยมด้วยรายละเอียด เมื่อระดับและพลังของความสามารถของเขาถูกเปิดเผยภายใต้การศึกษาของเจอรัลด์ โรบ็อทนิค จี.ยู.เอ็น ก็ต้องการวิธีที่จะกำราบเขา เจอรัลด์พยายามช่วยให้เขาหลบหนี แต่ก็เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น ซึ่งทั้งคู่ไม่สามารถฟื้นตัวได้ แต่แล้วชาโดว์ซึ่งถูกขังเดี่ยวมาหลายสิบปี กลับถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดและเขาก็กระหายการแก้แค้น

บังเอิญว่าฟาวเลอร์เป็นแอนิเมเตอร์ตัวละครที่เซก้าจ้างมาเพื่อช่วยสร้างเกมใหม่เกี่ยวกับชาโดว์ในปี 2003 เสียด้วย “เขาเป็นตัวละครที่น่าดึงดูดมาก” ผู้กำกับกล่าว “เขามีความลึกซึ้งมาก ในตอนที่เราบอกใบ้เป็นนัยๆ เกี่ยวกับตัวละครของเขาในช่วงท้ายของ Sonic 2 แฟนๆ ก็เสียสติกันไปเลยครับ”

การคาดเดาทางออนไลน์ว่าใครควรให้เสียงชาโดว์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ลงเอยด้วยความเห็นพ้องต้องกันอย่างล้นหลาม: คีอานู รีฟส์ “เป็นการจับคู่ที่เหมาะสมกันอย่างสมบูรณ์แบบ” ฟาวเลอร์กล่าว “ชาโดว์คือจอห์น วิคในรูปแบบเม่น ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโซนิค”

แต่ซูเปอร์สตาร์นักบู๊คนนี้จะรับบทนี้ไหมนะ

โชคดีที่รีฟส์ชอบแนวคิดนี้ “การได้เล่นชาโดว์ใน Sonic the Hedgehog 3 ถือเป็นอะไรที่พิเศษมากสำหรับผม” เขากล่าว “ผมได้อ่านบทแล้วรู้สึกเหมือนเขากำลังต่อสู้กับตัวเอง และผมก็รู้สึกสงสารเขา เขาสูญเสียคนๆ หนึ่งที่เขารักไป และแช่แข็งเป็นเวลา 50 ปี เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธคนที่พรากมาเรียไปจากเขา และเขาโทษจี.ยู.เอ็น. เขาต้องการแก้แค้นและรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่สุดท้ายแล้ว หัวใจของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม ผมพยายามค้นหาจิตวิญญาณอันงดงามที่ชาโดว์เป็นอยู่น่ะครับ”

ในตอนแรก โซนิคไม่มีโอกาสเอาชนะชาโดว์ได้ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวเลย ถึงแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากนัคเคิลส์และเทลส์ มันก็ไร้ผล “ชาโดว์เป็นเม่นที่แข็งแกร่งมาก” รีฟส์กล่าว “ในตอนแรก โซนิคสู้เขาไม่ได้เลยแต่เขาก็เรียนรู้ได้เร็ว ในด้านภาพวิชวลแล้ว มันน่าตื่นเต้นมาก มีจิตวิญญาณแห่งความสนุกสนานและความประหลาดใจที่เชื่อมโยงกับความสมจริงทางอารมณ์ของตัวละครด้วย นั่นทำให้คุณเห็นอกเห็นใจพวกเขาได้ครับ”

การหาโทนเสียงที่เหมาะสมสำหรับตัวละครนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับรีฟส์  “ผมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของคณะนักร้องประสานเสียง เบนในบทโซนิคมีเสียงเทเนอร์ และผมคิดว่าอิดริสทำหน้าที่เป็นนักร้องเสียงเบสในคณะนักร้องประสานเสียง แล้วชาโดว์จะไปอยู่ที่ไหนได้ล่ะครับ ผมไม่อยากจะใช้เสียงต่ำเกินไปเพราะนัคเคิลส์ใช้เสียงแบบนั้นแล้ว และผมก็ไม่อยากใช้เสียงสูงเกินไปเพราะเบนกับโซนิคมีเสียงแบบนั้นแล้ว การพยายามรับมือกับเรื่องนั้น บวกเข้ากับการใส่อารมณ์เข้าไปเป็นเรื่องที่ยากเย็นจริงๆ”

“สิ่งหนึ่งที่คีอานูเข้าใจโดยสัญชาตญาณก็คือ เมื่อคุณมีตัวละครอย่างชาโดว์ที่ไม่ค่อยพูด ทุกสิ่งที่เขาพูดจะต้องมีความหมายจริงๆ” ฟาวเลอร์กล่าว “เขาพยายามทำให้บทพูดแต่ละบทของเขาสมบูรณ์แบบ”

มอริทซ์เห็นด้วยว่ารีฟส์เป็นนักแสดงที่เหมาะกับบทบาทนี้ “เขาสามารถถ่ายทอดลักษณะนิสัยทั้งหมดที่เรามองหาสำหรับตัวละครตัวนี้ได้ นักแสดงที่มีคุณภาพและคุณสมบัติระดับนั้นทำให้ตัวละครนี้ดีขึ้นมาก เราตื่นเต้นมากที่ได้เขามาอยู่ในหนังเรื่องนี้ครับ”

เจ๋งยิ่งกว่านั้น การได้รีฟส์ยังทำให้ไข่อีสเตอร์จาก Sonic the Hedgehog กลับมาอีกครั้ง “ใน Sonic ภาคแรก เรามีช่วงเวลาสนุกๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่โซนิคเฝ้าดูหนังเรื่อง Speed ผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นของทอมและแมดดี้ และพูดว่า ‘คีอานู คุณเป็นสมบัติของชาติ’ มันน่าทึ่งมากที่ตอนนี้คีอานูเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโซนิคในบทชาโดว์ไปแล้ว ราวกับว่าเราได้วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วเลยล่ะครับ” แอชเชอร์กล่าว

ประสบการณ์นี้ถือเป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนสำหรับนักแสดงหนุ่ม “การผสมผสานระหว่างไลฟ์แอ็กชั่นและแอนิเมชั่นเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับผมเสมอมา” รีฟส์กล่าว “ตัวละครแอนิเมชั่นเหล่านี้ให้ความรู้สึกที่จับต้องได้และมีอยู่จริง ความสนิทสนมของความสัมพันธ์ให้ความรู้สึกเหมือนจริงเหลือเกิน และทีมผู้สร้างก็ได้สร้างซีเควนซ์แอ็กชั่นขนาดใหญ่ได้สำเร็จ ด้วยการซ้อนทับวิชวล เอฟเฟ็กต์ด้วยแอนิเมชั่น การได้ร่วมงานกับนักพากย์เสียงและนักแสดงที่ยอดเยี่ยมถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และผมต้องบอกว่าจิม แคร์รี่ย์เป็นอัจฉริยะ การแสดงของเขาในหนังเรื่อง Sonic เป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ทั้งพลังงาน ความฉลาด และความแข็งแกร่งของเขาสร้างแรงบันดาลใจให้ผมได้ และหนวดของเขา…หรือตอนนี้ ต้องพูดว่าหนวดของพวกเขาแล้วสิครับ!”

โรบ็อทนิคคูณสอง

ใน Sonic the Hedgehog 3 จิม แคร์รี่ย์ไม่เพียงแต่กลับมาขโมยซีนในบทดร. อิโว โรบ็อทนิคผู้ทรยศเท่านั้น แต่เขายังรับบทเจอรัลด์ โรบ็อทนิก ปู่ของอิโว วัย 110 ปีผู้ชั่วร้ายไม่แพ้กัน เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการชั่วร้ายของชาโดว์ “ผู้ชมจะรู้สึกทึ่งไปกับสิ่งที่จิมทำกับมัน” ฟาวเลอร์กล่าว “เขาคิดไอเดียตลกๆ มากมายสำหรับตัวละครตัวนี้ เขามีส่วนร่วมในทุกแง่มุมเล็กๆ น้อยๆ ของโลกโรบ็อทนิค รวมถึงการโต้ตอบทั้งหมดของเขากับเอเจนท์สโตน ลูกสมุนของเขาด้วยครับ”

อิโว ผู้ใช้ชีวิตอยู่ภายในหุ่นยนต์ไฮเทคตัวสุดท้ายของเขา ซึ่งเป็นปูกลไกขนาดยักษ์ อยู่ในช่วงชีวิตขาลงเรื่อยๆ เขาใช้เวลาทั้งวันไปกับการสวาปามอาหารขยะแบบไม่ยั้งและรู้สึกสงสารตัวเองในขณะที่นั่งดูละครโทรทัศน์อยู่บนเก้าอี้เอนหลัง “สำหรับการพาจิมกลับมารับบทนี้ เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องให้เขาได้แสดงความเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมทั้งสามภาค” แอชเชอร์กล่าว “เขาเคยเป็นศัตรูตัวฉกาจในภาคก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้ เขาเต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจครับ”

เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้กลับมาอยู่ในจักรวาลของโซนิคอีกครั้ง แคร์รี่ย์ตอบว่า “ผมไม่เคยจากไป ผมจะไปที่ไหนได้อีกล่ะครับ จักรวาลของโซนิคนั้นครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะพยายามวัดค่าของมัน ผมคิดว่าคาร์ล เซแกนเป็นคนพูดว่า สำหรับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างเรา ความกว้างใหญ่ไพศาลนั้นเป็นสิ่งที่เราอาจทนทานได้ก็ต่อเมื่อเราสะสมแหวน 50 วงหรือค้นหาเคออส เอเมอรัลด์พบเท่านั้น ที่จริงแล้ว คาร์ล เซแกนอยากจะพูดบางสิ่งที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แต่ผมแน่ใจว่าเขาเป็นแฟนตัวยงของโซนิค ดังนั้น ผมไม่คิดว่าเขาจะรังเกียจหรอกนะครับ”

อีโวมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเจอรัลด์ ปู่ที่หายสาบสูญไปนานของเขาปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ตัวละครตัวนี้ ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในเกม “Sonic Adventure 2” ทุกข์ทรมานจากการสูญเสียเมื่อนานมาแล้วและรู้สึกว่าโลกไม่ยุติธรรมกับเขา เขาจึงกลายเป็นตัวร้ายตัวฉกาจของเรื่องราวนี้

คำถามที่ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องเผชิญระหว่างการคัดเลือกนักแสดงคือ ใครจะมาเล่นเป็นเจอรัลด์ประกบจิม แคร์รี่ย์ได้ มีคำตอบที่ชัดเจนมากอยู่แล้ว “เราตัดสินใจขอให้จิมเล่นเป็นตัวละครทั้งสองตัว” ฟาวเลอร์กล่าว “ในเกม เจอรัลด์ดูเกือบจะเหมือนเขาทุกประการ ทั้งหนวดดกหนา หัวโล้น แค่แก่กว่านิดหน่อย เราเพียงแค่ต้องทำให้เขาตกลง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน”

โชคดีที่นักแสดงผู้นี้พร้อมรับความท้าทายนี้ “มันเป็นส่วนที่พิเศษที่สุดส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ครับ” มอริทซ์กล่าว “ตอนที่ผมได้ดูเขาสองคนในฉากเดียวกัน ผมก็รู้สึกเหมือนกำลังดูคนสองคนอยู่จริงๆ”

ในการเนรมิตชีวิตให้กับเจอรัลด์ ทีมงานได้นำ มาร์ค โคเลียร์ ช่างแต่งหน้าผู้เคยคว้ารางวัลออสการ์ถึงสามครั้งและเพิ่งได้รับรางวัลออสการ์จากเรื่อง Poor Things มาช่วย การแปลงโฉมแต่ละครั้งทำให้แคร์รีย่ต้องใช้เวลาแต่งหน้าและใส่ชิ้นส่วนเทียมนานถึงสามชั่วโมง “ผมพูดได้ไม่หมดถึงเรื่องที่น่าทึ่งเกี่ยวกับทีมแต่งหน้าและผลงานของพวกเขาครับ” ฟาวเลอร์กล่าว “ตอนที่เราทดสอบกล้องครั้งแรกและจิมเดินออกมาในโฉมหน้าของเจอรัลด์ เสียงของจิม แคร์รี่ย์ก็ออกมาจากตัวละครใหม่เอี่ยมตัวนี้ ผมคิดว่าเมื่อคนดูดูหนังเรื่องนี้ พวกเขาจะลืมไปเลยว่านั่นคือจิม”

เอลีนอร์ เบเกอร์เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับตัวละครทั้งสอง “เอลลี่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมมากกับการออกแบบเครื่องแต่งกายที่วิเศษสุด” แคร์รี่ย์กล่าว “เธอทำได้เหนือความคาดหมายด้วยการปรับเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรได้ภายในชั่วพริบตา การสวมบทตัวละครพวกนี้เป็นงานที่ค่อนข้างง่ายเมื่อมีคนมาประดับร่างกายคุณด้วยชุดแฟนตาซีเหล่านี้ พวกเขาบอกว่าเสื้อผ้าสร้างคน แต่บางครั้ง เครื่องแต่งกายก็สร้างตัวละครได้เหมือนกันครับ”

Sonic the Hedgehog 3 เจาะลึกเข้าไปในความนึกคิดของอิโว โรบ็อทนิค ด้วยการสำรวจว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นซูเปอร์วายร้าย “เรามักจะเห็นเขาในบทบาทปีศาจร้ายผู้หลงตัวเองมาตลอด” แอชเชอร์กล่าว “เราได้เห็นด้านที่แตกต่างออกไปเล็กน้อยของเขาขณะที่เขาเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางจิตใจ ในภาคก่อน เขามีมาสเตอร์ เอเมอรัลด์ ซึ่งมอบพลังที่แทบไร้ขีดจำกัดให้กับเขา หากคุณไปถึงจุดสุดยอดนั้นแล้วตกต่ำลง คุณจะไปไหนต่อล่ะครับ”

ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ตัดสินใจขยายขอบเขตของแฟรนไชส์จากการให้ความสำคัญกับครอบครัวและความสัมพันธ์ให้รวมเรื่องอิโวเข้าไปด้วย “เป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้” ฟาวเลอร์กล่าว “อิโวเชื่อเสมอว่าเขาเป็นเด็กกำพร้า แต่เมื่อเจอรัลด์เดินเข้ามา เขาก็เหมือนเด็กอีกครั้ง เด็กที่แค่อยากจะสร้างความประทับใจให้กับปู่ของเขา จิมได้เล่นเป็นตัวละครนั้นในรูปแบบใหม่โดยสิ้นเชิงครับ”

ความท้าทายในการรับบทเป็นโรบ็ฮทนิคทั้งสองคนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจต้านทานได้สำหรับแคร์รี่ย์ “จนกระทั่งผมตระหนักว่าผมต้องทำงานสองเท่าแต่ได้ค่าจ้างเท่าเดิมน่ะครับ” เขากล่าวติดตลก “คราวหน้าพวกเขาคงต้องใส่เคออส เอเมอรัลดเข้าไปด้วยสักหนึ่งหรือสองอัน แต่ผมภาวนาขอให้จักรวาลสร้างแฟรนไชส์สุดเจ๋งที่จะทำให้เด็กๆ ทั่วโลกหลงรักและดึงดูดเด็กในตัวเราทุกคนมานานแล้ว และโอมเพี้ยง ผมได้มาถึงจุดนี้แล้ว ผ่านรูหนอนของเซก้าไปได้เลย”

“ขนาดของมันทั้งหมดกลายเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ต้องยกความดีความชอบให้นีล มอริทซ์, โทบี้ แอชเชอร์และเจฟฟ์ ‘เซซิล บี. เดอ’ ฟาวเลอร์ หนังเรื่องนี้มันใหญ่โตมากจนคุณแทบไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเม่น แต่คุณไม่สามารถเถียงฐานแฟนคลับได้หรอกครับ ถ้าพวกเขาต้องการเม่น พวกเขาก็จะได้เม่นครับ”

นักแสดงหนุ่มยืนกรานว่าทุกคนต้องดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ “และดูกับครอบครัวของคุณ ไม่ว่าจอทีวีของคุณจะใหญ่แค่ไหน โรงหนังจะช่วยให้คุณฝันได้ยิ่งใหญ่ขึ้น ศิลปินที่สร้างหนังเรื่องนี้ได้วาดภาพบนผืนผ้าใบที่มีขนาดใหญ่มากจนคุณสามารถดื่มด่ำไปกับมันได้ แต่อย่าลืมโรยป๊อปคอร์ไว้ด้วยนะเพื่อที่คุณจะได้หาทางกลับถูก”

ดนตรีโซนิค

นอกจากนี้ ผู้ที่กลับมาทำงานในภาคนี้เป็นครั้งที่สามยังรวมถึงนักแต่งเพลง ทอม โฮลเคนบอร์ก หรือที่รู้จักกันในชื่อ จังค์กี้ เอ็กซ์แอล เขาได้ร่วมงานกับผู้สร้างภาพยนตร์ ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง และแฟนตัวยงของโซนิคอย่างไทสัน เฮสซี เพื่อหาตำแหน่งที่จะผสมผสานดนตรีประกอบเกม Sonic แบบคลาสสิกเข้ากับดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมถึงเพลงคลาสสิกของวงครัช 40 ที่ชื่อ “Live & Learn” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ใน Sonic Adventure 2

ตัวจริงเสียงจริง

เรื่องราวของ Sonic จะไม่มีทางสมบูรณ์แบบได้เลยหากไม่มีทอมและแมดดี้ วาโชว์สกี้ พ่อแม่บุญธรรมของทีมที่รับบทโดยเจมส์ มาร์สเด็นและทีก้า ซัมป์เตอร์ หลังจากถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังเมื่อเด็กๆ ถูกส่งไปโตเกียวเพื่อเผชิญหน้ากับชาโดว์เป็นครั้งแรก ทอมและแมดดี้ก็กลายเป็นพ่อแม่ขี้เหงาตามแบบฉบับ ผู้พยายามบอกตัวเองว่าการได้อยู่ตามลำพังบ้างก็เป็นเรื่องดี แต่ทันทีที่พวกเขาได้รับโทรศัพท์ขอให้ไปช่วยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอังกฤษ พวกเขาก็เคลื่อนไหวทันที

“เจมส์เป็นเพื่อนที่ดีมากและเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม” ฟาวเลอร์กล่าว “เขาอยากรู้เสมอว่าเราสามารถพัฒนาอะไรได้บ้าง และทีก้าก็เป็นเหมือนแสงแดดที่ส่องประกาย รอยยิ้มของเธอทำให้ซาวน์สเตจสว่างไสวขึ้น เธอเดินเข้าไปในกองถ่ายและเราได้ยินเสียงหัวเราะนั้น มันทำให้ทุกคนผ่อนคลาย เพราะเรารู้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่สนุกสนานครับ”

นักแสดงทั้งสองคนเป็นพ่อแม่ที่ทุ่มเทในชีวิตจริง “พวกเขาใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นในความสัมพันธ์เหล่านี้” ฟาวเลอร์กล่าวเสริม “โซนิคกลายเป็นเหมือนลูกสำหรับพวกเขา และผมคิดว่านั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันถึงวิเศษมากบนจอ เมื่อผู้ชมได้เห็นโซนิคและความสัมพันธ์ของเขากับครอบครัว พวกเขาก็จะมองเห็นตัวเองครับ”

นอกจากนี้ ยังมีลี มัจดูบที่กลับมารับบทเอเจนท์สโตน ลูกสมุนผู้ภักดีของอิโว โรบ็อทนิคอีกด้วย “เขาออดิชันสำหรับหนังภาคแรกด้วยบทพูดเพียงหนึ่งหรือสองประโยค” ฟาวเลอร์กล่าว “แต่เขาทำให้เรื่องตลกดูง่ายดายและไม่ต้องใช้ความพยายามมาก เขาต้องเข้าฉากกับจิม แคร์รี่ย์และเขาก็พร้อมเสมอสำหรับทุกอย่างที่จิมส่งให้เขา จิมรักเขาและผมก็เหมือนกัน หนังเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าลีเป็นนักแสดงที่น่าทึ่งแค่ไหน”

คริสเต็น ริตเตอร์เข้าร่วมทีมนักแสดงในบทบาทผู้อำนวยการร็อคเวลของจี.ยู.เอ็น. ร็อคเวลมองทีมโซนิคด้วยความเคลือบแคลงใจอย่างมาก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการต่อสู้ระหว่างพวกเขากับชาโดว์ “เธอเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ จี.ยู.เอ็น.” ฟาวเลอร์กล่าว “เธอไม่ได้อยู่ฝ่ายโซนิคเลยแทบทั้งเรื่อง ซึ่งสร้างชั้นเชิงที่น่าสนใจให้กับเรื่องราว” ทีมผู้สร้างชื่นชอบการแสดงของเธอใน Jessica Jones และ Breaking Bad และคิดว่าเธอเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการต่อยอด จี.ยู.เอ็น. ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในตำนานโลกของโซนิคต่อไป

ฟาวเลอร์เปรียบเทียบการทำงานในภาพยนตร์ลูกผสมระหว่างไลฟ์แอ็กชั่น/แอนิเมชั่นว่าเหมือนการรับประทานช็อกโกแลตและเนยถั่วด้วยกัน “สำหรับผมแล้ว มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองโลก” เขากล่าว “ผมได้ทำงานร่วมกับนักแสดงและทีมงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อสร้างฉากพิเศษเหล่านี้และได้เป็นส่วนหนึ่งของเวทมนตร์แห่งการทำภาพยนตร์ แต่แล้วพอเราเริ่มทำงาน เราก็ได้สร้างวิชวล เอฟเฟ็กต์และแอนิเมชั่นทั้งหมดนี้ร่วมกับศิลปินและแอนิเมเตอร์หลายร้อยคนทั่วโลก ทั้งสองสิ่งนี้มีความสำคัญเท่าเทียมกันครับ”

สิ่งหนึ่งที่ผู้สร้างทำต่างออกไปสำหรับตัวละครไลฟ์แอ็กชั่นในครั้งนี้คือการสร้างหุ่นเชิดที่เป็นตัวแทนของตัวละคร CG แต่ละตัว “มันช่วยให้นักแสดงเข้าใจว่าโซนิคหรือนัคเคิลส์จะทำอะไร” ฟาวเลอร์อธิบาย “การใช้ลูกเทนนิสที่เสียบไม้ไม่เกิดประโยชน์อะไรมากนัก ดังนั้น ในครั้งนี้ เราจึงนำนักบังคับหุ่นและเวอร์ชันคล้ายมัพเพ็ตของตัวละครเหล่านี้มาด้วย ซึ่งผมคิดว่านักแสดงชื่นชอบมันจริงๆ ครับ”

ครั้งสามสำเร็จแน่

การทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Sonic the Hedgehog ทั้งสามภาคได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้สร้างภาพยนตร์ได้มากพอๆ กับที่ตัวละครนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับแฟนๆ มากมาย ฟาวเลอร์กล่าวว่าในแต่ละภาคใหม่ของแฟรนไชส์นี้ ทีมงานชุดเดิมจะรวมตัวกันอีกครั้งอย่างกระตือรือร้นเพื่อสร้างการผจญภัยครั้งใหม่ “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์ที่เหลือเชื่อนี้” ผู้กำกับกล่าว “การได้สร้างผลงานจากเรื่องราวและตัวละครที่แฟนๆ ชื่นชอบมาเป็นเวลา 33 ปีบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จินตนาการได้นั้นเหลือเชื่อมาก ผมรักเกมเหล่านี้มาหลายปีแล้ว ผมยังได้ช่วยออกแบบตัวละครบางตัวด้วยซ้ำ และตอนนี้ผมก็ได้สร้างหนังที่แนะนำให้โซนิคเป็นที่รู้จักของผู้ชมกลุ่มใหม่ด้วยครับ”

เขากล่าวเสริมว่า เขาคิดอยู่เสมอถึงการสร้างเรื่องราวที่เข้าถึงได้สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ “ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะเป็นเด็กอายุ 8 ขวบ 15 40 หรืออะไรก็ตาม คุณสามารถมองดูโซนิคแล้วเห็นตัวเองได้เสมอ”

ผู้อำนวยการสร้างแอชเชอร์และมอริทซ์ก็เห็นด้วยกับความรู้สึกของเขา “นีลและผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้ร่วมงานในหนังเรื่องนี้กับเจฟฟ์” แอชเชอร์กล่าว “มันเป็นจักรวาลรุ่มรวยที่เต็มไปด้วยเรื่องราว เราสร้างหนังเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อแฟนๆ ของโซนิค ผู้ซึ่งความรัก ความหลงใหล และพลังงานของพวกเขาผลักดันให้เราทุกคนสร้างสรรค์สิ่งพิเศษขึ้นมาทุกครั้ง เรามีอะไรอีกมากมายที่อยากทำในแฟรนไชส์นี้ ผมไม่คิดว่าเราจะชะลอตัวลงในเร็วๆ นี้หรอกครับ”

การสร้างภาพยนตร์ Sonic ถือเป็นงานที่ดีที่สุดในโลก มอริทซ์กล่าวเสริม “การที่เราสามารถเล่าเรื่องราวของ Sonic ได้อย่างต่อเนื่องเป็นความโชคดีอย่างยิ่งครับ ความร่วมมือของเรากับเซก้าผ่านหนังทั้งสามเรื่องนั้นยอดเยี่ยมมาก เราทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด พวกเขาให้เราดูแลลูกรักของพวกเขาและทำในสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวละครและเกมนี้ และเราไม่เคยมองข้ามความสำคัญของเรื่องนี้ครับ”

ฟาวเลอร์ตั้งตารอที่จะเห็นปฏิกิริยาของแฟนๆ ต่อภาพยนตร์เรื่องล่าสุดนี้ “เราพยายามใส่สิ่งที่พวกเขาชอบเกี่ยวกับวิดีโอเกมเหล่านี้เข้าไปในตอนที่เราสร้างหนังพวกนี้ขึ้นมา ผมคิดว่าพวกเขาจะเสียสติไปเลยเมื่อเห็นสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า เรามีฉากแอ็กชั่นที่ยอดเยี่ยมใน Sonic 2 แต่เราได้ยกระดับมันขึ้นไปอีกระดับ ในแบบที่คุณต้องเห็นบนจอใหญ่ ทุกวันนี้ ผู้ชมต้องการเหตุผลในการไปดูหนัง และเราก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างหนังที่คู่ควรกับสิ่งนั้น”

และทีมงานก็เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ด้วยการขยายไปสู่จอโทรทัศน์ด้วย Knuckles ที่แพร่ภาพทางพาราเมาท์ พลัสและการที่ชาโดว์เข้าร่วมทีมนักแสดง ฟาวเลอร์, มอริทซ์ และแอชเชอร์ มุ่งมั่นที่จะสร้างจักรวาลภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง “พวกเราชื่นชอบตัวละครเหล่านี้ครับ” ทั้งสามคนกล่าว “พวกเราชื่นชอบแฟนๆ เหล่านี้ แผนของเราสำหรับอนาคตของแฟรนไชส์นี้จะทำให้คุณทึ่งอย่างแน่นอน”


ประวัตินักแสดง

จิม แคร์รี่ย์ (Jim Carrey) รับบท อิโว โรบ็อทนิค/เจอรัลด์ โรบ็อทนิค

จิม แคร์รี่ย์เป็นนักแสดงที่ได้รับรางวัลและเป็นนักเขียนหนังสือขายดีของนิวยอร์ก ไทม์ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องจากทั้งผลงานดรามาและคอเมดีของเขา เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ (สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ – ดรามา) จากบทนำในภาพยนตร์ของปีเตอร์ เวียร์เรื่อง The Truman Show แคร์รี่ย์ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งที่สอง (สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ – มิวสิคัลหรือคอเมดี)จากการรับบทนักแสดงตลก แอนดี้ คอฟแมน ในภาพยนตร์ของไมลอส ฟอร์แมนเรื่อง Man on the Moon ตลอดอาชีพนักแสดงของเขา แคร์รี่ย์ยังได้รับการยกย่องหลายครั้งในเวทีเอ็มทีวี มูฟวี อวอร์ด, พีเพิลส์ ชอยส์ อวอร์ดและนิคเคลโลเดียน คิดส์ ชอยส์ อวอร์ด ในปี 2017 แคร์รี่ย์ได้รับรางวัลเจนเนอเรชัน อวอร์ดจากเทศกาลจัสต์ ฟอร์ ลัฟส์ เฟสติวัล และในปี 2018 เขายังได้รับรางวัลชาร์ลีย์ แชปลิน บริทันเนีย อวอร์ดสาขาความยอดเยี่ยมในคอเมดีจากเวทีบริทันเนีย อวอร์ด อีกด้วย

แคร์รี่ย์ได้แสดงบทดร.โรบ็อทนิค จอมวายร้ายในภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง Sonic the Hedgehog (2020) และ Sonic the Hedgehog 2 (2022) ประกบเจมส์ มาร์สเด็น, ทีก้า ซัมป์เตอร์และเบน ชวาร์ตซ์ นอกจากนี้ เขายังได้นำแสดงและควบคุมงานสร้างซีรีส์ที่ได้เสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง “Kidding” ของโชว์ไทม์  บทมิสเตอร์พิคเคิลส์ ไอคอนของรายการโทรทัศน์สำหรับเด็ก ทำให้แคร์รี่ย์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำปี 2019 และซีรีส์นี้ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาซีรีส์โทรทัศน์ยอดเยี่ยม — มิวสิคัลหรือคอเมดี

แคร์รี่ย์เป็นหัวข้อของสารคดีเน็ตฟลิกซ์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมีเรื่อง “Jim & Andy: The Great Beyond” สารคดีนี้เป็นมุมมองเบื้องหลังการแสดงที่ได้รับรางวัลของแคร์รี่ย์ในบทแอนดี้ คอฟแมนในภาพยนตร์เรื่อง Man on the Moon แคร์รี่ย์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมีในฐานะผู้ควบคุมงานสร้างของสารคดีเรื่องนี้ นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้างในซีรีส์คอเมดีโชว์ไทม์เรื่อง “I’m Dying Up Here”  ซึ่งมีเรื่องราวเกิดขึ้นในแวดวงสแตนด์อัพคอเมดียุค 1970s และเขายังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Bad Batch โดยอนา ลิลลี อาร์มิพูร์อีกด้วย

ในปี 2014 ภาคต่อที่หลายคนรอคอยมานาน Dumb and Dumber To ได้เปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศ โดยแคร์รี่ย์กลับมารับบทลอยด์ คริสต์มาสอีกครั้ง ยี่สิบปีหลังจากที่ลอยด์และแฮร์รี่ออกเดินทางในการผจญภัยครั้งแรก ทั้งคู่ก็ออกเดินทางเพื่อค้นหาหนึ่งในลูกๆ ที่หายสาบสูญไปนานด้วยความหวังว่าจะได้ไตใหม่ ในปี 2009 แคร์รี่ย์ได้แสดงในภาพยนตร์โดยผู้กำกับโรเบิร์ต ซีเมคิสที่ดัดแปลงจากนิทานคลาสสิกของชาร์ลส์ ดิกเกนส์ เรื่อง A Christmas Carol ซึ่งแคร์รี่ย์แสดงเป็นเอเบเนเซอร์ สครูจรวมถึงผีทั้งสามตนที่ตามหลอนเขาด้วย ในปี 2008 แคร์รี่ย์พากย์เสียงเป็นตัวละครหลักใน Horton Hears a Who! ภาพยนตร์แอนิเมชั่น CGI ที่สร้างจากนิทานคลาสสิกของดร.ซุส ซึ่งเป็นภาพยนตร์ฮิตระดับบล็อคบัสเตอร์

ระหว่างนี้ แคร์รี่ย์ยังได้แสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น The Incredible Burt Wonderstone ประกบสตีฟ คาเรลและสตีฟ บุชเชมี; I Love You Phillip Morris ประกบยวน แม็คเกรเกอร์; Yes Man ประกบโซอี้ เดสชาแนล; The Number 23 ประกบเวอร์จิเนีย แมดเซ็น; Fun with Dick and Jane ประกบที ลีโอนีและ A Series of Unfortunate Events ที่สร้างจากชุดหนังสือสำหรับเด็กเรื่อง Lemony Snicket โดยแดเนียล แฮนด์เลอร์

ก่อนหน้านี้ แคร์รี่ย์ได้แสดงในดรามาที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลบาฟตาสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ในปี 2003 เขาได้แสดงในคอเมดีที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Bruce Almighty ซึ่งเป็นผลงานเรื่องที่สามที่เขาประสบความสำเร็จในการร่วมงานกับผู้กำกับทอม แช็ดแย็ค นอกจากนี้ แช็ดแย็คยังได้กำกับเขาในภาพยนตร์คอเมดียอดนิยมเรื่อง Ace Ventura: Pet Detective และ Liar, Liar โดยเรื่องหลังนี้ทำให้แคร์รี่ย์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ

ในปี 2000 แคร์รี่ย์ได้รับความสนใจจากการได้นำแสดงในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดแห่งปี How the Grinch Stole Christmas การแสดงของเขาในบทนำของเรื่องทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ – มิวสิคัลหรือคอเมดี ในปีเดียวกันนั้นเอง แคร์รี่ย์ยังได้รับรางวัลดาราชายแห่งปีจากงานโชเวสต์ด้วย ก่อนหน้านี้ แคร์รี่ย์เคยได้รับเลือกให้เป็นนักแสดงตลกยอดเยี่ยมแห่งปีของโชเวสต์ในปี 1995 จากบทบาทแจ้งเกิดของเขาในภาพยนตร์คอเมดียอดนิยมเรื่อง Dumb & Dumber (ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาสำหรับมือเขียนบท/ผู้กำกับปีเตอร์และบ็อบบี้ ฟาร์เรลลี), Ace Ventura: Pet Detective และ The Mask ซึ่งทำให้แคร์รี่ย์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งแรก

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของแคร์รี่ย์ยังรวมถึง Mr. Popper’s Penguins, The Majestic, Me, Myself & Irene, Ace Ventura: When Nature Calls, Batman Forever และ Cable Guy

Memoirs and Misinformation ซึ่งเป็นหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์โดยแคร์รี่ย์ ได้รับการตีพิมพ์โดยอัลเฟร็ด เอ. น็อปฟ์ในปี 2020 หนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นหนังสือกึ่งอัตชีวประวัติที่ชำแหละตัวตนของเขาอย่างปราศจากความเกรงกลัว ถูกเขียนขึ้นร่วมกับนักเขียนนิยาย ดานา วาชอนและกล่าวถึงการแสดง ฮอลลีวูด ตัวแทน คนดัง อภิสิทธิ มิตรภาพ ความเหงา ความรัก การเติบโตในแคนาดาและหายนะโลกทั้งภายในและภายนอก ในปี 2013 แคร์รี่ย์ได้ออกหนังสือสำหรับเด็กเล่มแรกของเขาในชื่อ How Roland Rolls หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลเกเล็ตต์ เบอร์เกส อวอร์ด ซึ่งมอบให้กับหนังสือที่สร้างขึ้นมาเพื่อเด็กโดยเฉพาะ นอกจากหนังสือเรื่องนี้แล้ว อีพีสี่เพลงที่แต่งและขับร้องโดยแคร์รี่ย์และเจน ลูกสาวของเขา ก็ได้รับการเผยแพร่ทางไอจูนส์

ในปี 2017 เขาได้จัดแสดงผลงานศิลปะในสารคดีขนาดสั้นเรื่อง Jim Carrey: I Needed Color ซึ่งสำรวจชีวิตของเขาในฐานะศิลปิน ในปี 2018 แม็คคาโรน แกลเลอรี ในลอสแองเจลิสได้จัดแสดงงานนิทรรศการ “IndigNation: Political Cartoons by Jim Carrey 2016-2018” นิทรรศการถัดไปของแคร์รี่ย์ “This Light Never Goes Out” นำเสนอผลงานของเขามากกว่า 50 ชิ้นที่พาย เซ็นเตอร์ในมอนทรีอัล

แคร์รี่ย์เกิดในเมืองนิวมาร์เก็ต รัฐออนทาริโอ ประเทศแคนาดา เขาเริ่มต้นอาชีพการเป็นนักแสดงตลกตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น หลังจากย้ายไปลอสแองเจลิสเมื่ออายุ 19 ปี เขาก็กลายเป็นขาประจำที่คอเมดี สโตร์ของมิตซี ชอร์ ทันที ที่นั่น เขาได้รับความสนใจจากร็อดนีย์ แดนเจอร์ฟิลด์ ตำนานแห่งวงการตลก ผู้ประทับใจในตัวนักแสดงตลกหนุ่มมากจนพวกเขาเริ่มออกทัวร์ด้วยกัน

ในปี 1982 เขาได้รับเลือกให้แสดงในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “The Duck Factory” และในปี  1983 เขาได้รับบทนำในภาพยนตร์ครั้งแรกในเรื่อง Once Bitten ที่นำแสดงโดยลอเรน ฮัตตัน ตามด้วยบทบาทในภาพยนตร์ของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลาเรื่อง Peggy Sue Got Married และคอเมดีโดยจูเลียน เทมเปิลเรื่อง Earth Girls Are Easy ในปี 1988 แคร์รี่ย์ได้แสดงช่วงสั้นๆ แต่น่าจดจำในบทจอห์นนี สแควร์ ร็อคสตาร์ผู้ทำลายล้างตนเองในภาพยนตร์โดยคลินท์ อีสต์วู้ด เรื่อง The Dead Pool สองปีให้หลัง เขาได้ร่วมแสดงในซีรีส์คอเมดีที่มีนักแสดงมากมายเรื่อง “In Living Color” สำหรับฟ็อกซ์และในปี 1991 “Jim Carrey’s Unnatural Act” รายการพิเศษรายการแรกทางโชว์ไทม์ของเขา ก็ได้เปิดตัวท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชม หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงนำในบทคนขี้เหล้าที่พยายามรับมือกับชีวิตตัวเองในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีเรื่อง “Doing Time on Maple Drive”

ในปี 2014 แคร์รี่ย์ได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยการจัดการมหาริชีในแฟร์ฟิลด์ รัฐไอโอวา

เบน ชวาร์ทซ์ (Ben Schwartz) พากย์เสียง โซนิค

เบน ชวาร์ทซ์ ได้สร้างสถานะที่โดดเด่นให้กับตัวเองในฮอลลีวูด เขาได้แสดงในโปรเจ็กต์มากมายตลอดเส้นทางอาชีพของเขา และยังคงแสดงผลงานที่น่าประทับใจและน่าสนใจอย่างต่อเนื่องทั้งในภาพยนตร์และโทรทัศน์ เขาเป็นมือเขียนบทที่ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดด้วยเช่นกัน โดยเขาได้ตีพิมพ์หนังสือสี่เล่มและได้เขียนบทซีรีส์และภาพยนตร์ให้กับสตูดิโอใหญ่ๆ หลายแห่ง

ก่อนหน้านี้ ชวาร์ทซ์ได้พากย์เสียงบทนำใน Sonic the Hedgehog ภาพยนตร์ลูกผสมระหว่างแอนิเมชัน/แอนิเมชั่นที่ดัดแปลงจากวิดีโอเกมคลาสสิกของเซก้า ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากวิดีโอเกมที่ทำรายได้สูงสุดในประเทศตลอดกาลด้วยรายได้ 146 ล้านเหรียญและรายได้รวมทั่วโลก 306.7 ล้านเหรียญ ชวาร์ทซ์ได้กลับมารับหน้าที่เดิมอีกครั้งในซีเควลยอดนิยมของเรื่อง

นอกจากนี้ เบนยังได้ร่วมแสดงในซีซันแรกของมินิซีรีส์ทางแอปเปิลทีวีพลัสของลอร์ดและมิลเลอร์เรื่อง “The Afterparty” ชวาร์ทซ์ ที่แสดงร่วมกับทีมนักแสดงระดับแนวหน้า ทำให้ตัวเองโดดเด่นท่ามกลางเหล่านักแสดงที่โดดเด่น ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลเอชซีเอ ทีวี อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์สตรีมมิง นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์โดยเกร็ก แดเนียลส์เรื่อง “Space Force” ซึ่งเขาได้แสดงประกบคาเรลและจอห์น มัลโควิช

ด้านภาพยนตร์ ชวาร์ทซ์ได้รับบทพระเอกประกบโนแอล เวลส์ในรอมคอมโดยจาเร็ด สเติร์นเรื่อง Happy Anniversary ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึง Die Hart และ Die Hart 2: Die Harter ทั้งสองเรื่องประกบเควิน ฮาร์ท; Renfield ประกบนิโคลัส เคจ, นิโคลัส โฮลท์และอควาฟีนา; Standing Up, Falling Down ประกบบิลลี คริสตัลและ This Is Where I Leave You ที่เขาร่วมทีมนักแสดงที่นำทีมโดยเจสัน เบทแมนและทีนา เฟย์

ด้านจอแก้ว ชวาร์ทซ์ได้แสดงประกบดอน ชีเดิลและคริสเตน เบลล์ในซีรีส์คอเมดีทางโชว์ไทม์เรื่อง “House of Lies” เขาได้แสดงร่วมกับเอมี โพห์เลอร์, คริส แพรตต์ และอาซิซ อันซารี ในบทฌอง ราล์ฟฟิโอใน “Parks and Recreation” หนึ่งในซีรีส์ที่มีการแพร่ภาพมากที่สุดในประวัติศาสตร์โทรทัศน์ นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมสร้างและนำแสดงในสามรายการพิเศษอิมโพรฟทางเน็ตฟลิกซ์ในชื่อ “Middleditch & Schwartz” และได้พากย์เสียงให้กับซีรีส์แอนิเมชั่นต่างๆ เช่น “DuckTales”  และ “Rise of the TMNT”

ชวาร์ทซ์ยังคงทัวร์ทั่วประเทศและรอบโลกด้วยการแสดงไลฟ์อิมพรูฟของเขา “Ben Schwartz & Friends” ซึ่งเปิดการแสดงที่บัตรขายหมดเกลี้ยงที่เรดิโอ ซิตี้ มิวสิค ฮอล, เดอะ ชิคาโก้ เธียเตอร์และรอยัล อัลเบิร์ต ฮอล

เจมส์ มาร์สเด็น (James Marsden) รับบท ทอม

หลังจากที่ได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์หลากหลายแนวตลอดเส้นทางอาชีพของเขา เจมส์ มาร์สเด็นยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์ความโดดเด่นในฮอลลีวูดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เขาได้แสดงในซีรีส์ยอดนิยมโดยฟรีวีเรื่อง “Jury Duty” ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากสถาบันต่างๆ มากมาย รวมถึงเวทีสมาพันธ์นักวิจารณ์ฮอลลีวูดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี, ลูกโลกทองคำและสมาพันธ์นักวิจารณ์โทรทัศน์ ซีรีส์นี้ได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในซีรีส์ใหม่ที่มีบทและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขาซีรีส์คอเมดี เขียนบทและคัดเลือกนักแสดงยอดเยี่ยม รวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาซีรีส์ยอดเยี่ยมม – มิวสิคัลหรือคอเมดี

นอกจากนี้ มาร์สเด็นยังจะได้เป็นนักแสดงรับเชิญในซีรีส์ที่ปลุกชีพซีรีส์คัลท์ยอดนิยมอย่าง “Party Down” ขึ้นมาใหม่ ซีซันที่ 3 ที่หลายคนรอคอยมายาวนานนำแสดงโดยทีมนักแสดงที่น่าประทับใจ ซึ่งรวมถึงเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์, อดัม สก็อต, เจน ลินช์, ไทเรล แจ็คสัน วิลเลียมส์และโซอี้ จ้าว เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งปิดกล้องซีรีส์ใหม่โดยแดน โฟเกลแมนเรื่อง “Paradise” ประกบสเตอร์ลิง เค. บราวน์และจูลีแอนน์ นิโคลสัน ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการถ่ายทำแอ็กชั่นคอเมดีคู่หูที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในวงการอาชญากรเรื่อง Mike & Nick & Nick & Alice ประกบวินซ์ วอห์น

ก่อนหน้านี้ มาร์สเด็นรับบททอมในภาพยนตร์ลูกผสมระหว่างไลฟ์แอ็กชั่น/แอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จของเจฟฟ์ ฟาวเลอร์เรื่อง Sonic the Hedgehog ที่ดัดแปลงจากวิดีโอเกมคลาสสิกของเซก้า ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากวิดีโอเกมที่ทำรายได้สูงสุดในประเทศ ด้วยรายได้ 146 ล้านเหรียญ และรายได้ทั่วโลก 306.7 ล้านเหรียญ มาร์สเด็นได้กลับมารับบทเดิมในภาพยนตร์เรื่อง Sonic the Hedgehog 2 ปี 2022 ซึ่งสร้างสถิติด้วยรายได้เปิดตัว 71 ล้านเหรียญ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดตลอดกาลสำหรับภาพยนตร์ที่สร้างจากวิดีโอเกม

มาร์สเด็นได้แสดงประกบไมเคิล คีย์ตัน, มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เดนและอัล ปาชิโนในทริลเลอร์นัวร์เรื่อง Knox Goes Away ซึ่งคีย์ตันกำกับ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงประกบเมลิสซา แม็คคาร์ธีย์, ฮิวจ์ แกรนท์และเอมี ชูเมอร์ในภาพยนตร์โดยเจอร์รี เซนเฟลด์เรื่อง Unfrosted ก่อนหน้านั้น เขาได้แสดงร่วมกับคริสตินา แอปเปิลเกตและลินดา คาร์เดลลินีในซีรีส์แนวตลกร้ายยอดนิยมของเน็ตฟลิกซ์เรื่อง “Dead to Me” ซีซันที่สองของซีรีส์นี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขาซีรีส์คอเมดีดีเด่น สำหรับซีซันที่สามและเป็นซีซันสุดท้ายในปี 2022 มาร์สเด็นได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดี

ในช่วงเริ่มแรกของอาชีพนักแสดง มาร์สเด็นได้รับบท ไซคล็อปส์ ในไตรภาค X-Men ประกบฮิวจ์ แจ็คแมนและฮัลลี เบอร์รี นอกจากนี้ เขายังได้แสดงใน Shock and Awe ประกบวู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและทอมมี ลี โจนส์; Unfinished Business ประกบวินซ์ วอห์นและนิค ฟรอสต์; Welcome to Me ประกบคริสเตน วิ้ก; Walk of Shame ประกบอลิซาเบธ แบงค์; Anchorman 2: The Legend Continues ประกบวิล เฟอร์เรล, พอล รัดด์และสตีฟ คาร์เรล; Two Guns ประกบมาร์ค วอห์ลเบิร์กและเดนเซล วอชิงตัน; Robot and Frank ประกบแฟรงค์ แลงเกลลา, ลีฟ ไทเลอร์และซูซาน ซาแรนดอน; Enchanted ประกบเอมี อดัมส์; Bachelorette ประกบเคียร์สเตน ดันส์และอิสลา ฟิชเชอร์ และ 27 Dresses ประกบแคทเธอรีน ไฮเกล

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของมาร์สเด็นรวมถึง The D-Train, The Boss Baby: Family Business, The Best of Me, The Female Brain, The Butler, Straw Dogs, Hop, Disenchanted, The Notebook, Superman Returns, Hairspray, Disturbing Behavior, 10th & Wolf, Sugar and Spice, Death at a Funeral, Sex Drive และ The Box

นอกเหนือจากภาพยนตร์ มาร์สเด็นยังได้แสดงในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Westworld” ประกบอีวาน ราเชล วู้ด; “Mrs. America” ประกบเคท บลังเช็ตต์และซาราห์ พอลสันและ “The Stand” ประกบอเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ดและวู้ปปี้ โกลด์เบิร์ก นอกจากนี้ เขายังได้รับบทคนรักของทีนา เฟย์อยู่หลายเอพิโซดในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “30 Rock” ด้วย

ทีก้า ซัมป์เตอร์ (Tika Sumpter) รับบท แมดดี้

ทีก้า ซัมป์เตอร์ เป็นนักแสดง ผู้อำนวยการสร้าง และผู้สร้างพ็อดแคสต์ที่ประสบความสำเร็จ เธอได้สร้างตัวเองในฐานะหนึ่งในบุคคลสารพัดบทบาทที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในฮอลลีวูด เมื่อเร็วๆ นี้ ซัมป์เตอร์ได้ร่วมแสดงในซีรีส์คอเมดีทางเอบีซีเรื่อง “Mixed-ish” ซึ่งเป็นสปินออฟของ “Black-ish”

เมื่อเร็วๆ นี้ ซัมป์เตอร์เพิ่งได้แสดงประกบสนูป ด็อกก์และไมค์ เอพส์ใน The Underdoggs และได้กลับมารับบท แมดดี้ วาโชว์สกี้ ประกบเจมส์ มาร์สเด็นและจิม แคร์รีย์อีกครั้งใน Sonic the Hedgehog 2 (2022) ภาพยนนตร์เรื่อง Sonic ภาคแรกเข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 ทำลายสถิติรายได้เปิดตัวช่วงสุดสัปดาห์ด้วยรายได้เปิดตัวสูงสุดตลอดกาลสำหรับภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากวิดีโอเกม

ปัจจุบัน ซัมป์เตอร์อยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์รอมคอมเกี่ยวกับพี่น้องในอิตาลี เธอได้ร่วมเขียนบท ร่วมอำนวยการสร้างและนำแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยได้ร่วมมือกับไทเลอร์ เพอร์รีและอเมซอน เอ็มจีเอ็ม สตูดิโอส์ โปรเจ็กต์นี้ ซึ่งเป็นงานกำกับเรื่องแรกของเพอร์รีที่เขาไม่ได้เขียนบทเอง ได้รับแรงบันดาลใจจากความซับซ้อนที่มากับความเป็นพี่น้อง รวมถึงประสบการณ์ส่วนตัวของซัมป์เตอร์ในฐานะน้องนุชสุดท้องในครอบครัว ก่อนหน้านี้ ซัมป์เตอร์ได้แสดงประกบโรเบิร์ต เรดฟอร์ด, เคซีย์ เอฟเฟล็ค, แดนนี โกลเวอร์และซิสซี สปาเซ็คในภาพยนตร์โดยเดวิด โลเวอรีเรื่อง The Old Man and the Gun ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2018 ในปี 2016 ซัมป์เตอร์ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงของเธอในบทมิเชลล์ โอบามาวัยสาวใน Southside With You ซึ่งซัมป์เตอร์ร่วมอำนวยการสร้างกับจอห์น ลีเจนด์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ได้แรงบันดาลใจจากเดทซัมเมอร์ครั้งแรกของบารัคและมิเชลล์ โอบามา ได้เปิดตัวในงานซันแดนซ์ ท่ามกลางการยืนปรบมือชื่นชมและได้รับเสียงวิจารณ์ยกย่องอย่างล้นหลาม ซัมป์เตอร์ได้แสดงในภาพยนตร์ชีวประวัติของเจมส์ บราวน์ที่ได้รับรางวัลเรื่อง Get On Up ประกบวิโอลา เดวิส, อ็อคตาเวีย สเปนเซอร์และแช็ดวิค โบสแมน; An Acceptable Loss ประกบเจมี ลี เคอร์ติส; Ride Along ประกบเควิน ฮาร์ทและไอซ์ คิวบ์และ Nobody’s Fool ประกบทิฟฟานี แฮดดิช, วู้ปปี้ โกลด์เบิร์กและโอมารี ฮาร์ดวิค นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในภาพยนตร์จบการศึกษาขนาดสั้นที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดโดยเคร็ก แพทเทอร์สันเรื่อง Fathead (2023) อีกด้วย

ด้านจอแก้ว ซัมป์เตอร์ได้แสดงประกบควีน ลาติฟาห์ในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Bessie” ซึ่งได้รับรางวัลเอ็มมีสาขาภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ดีเด่น ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเธอรวมถึงซีรีส์ซีดับบลิวเรื่อง “Gossip Girl,” ซีรีส์บีอีทีเรื่อง “The Game,” ซีรีส์โอดับบลิวเอ็นเรื่อง “The Have and the Have Nots” และซีรีส์ที่ได้รับรางวัลเดย์ไทม์ เอ็มมีเรื่อง “One Life to Live” ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ด

ซัมป์เตอร์ได้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกของเธอที่งานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2023 ด้วยภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Night Off ที่เขียนบทโดยเคียนา บัตเลอร์ จาแบ็งเวสำหรับโครงการวีเมน ไรท์ นาวของฮาร์ทบีท ปัจจุบัน ภาพยนตร์เรื่องนี้แพร่ภาพทางพีค็อก

ซัมป์เตอร์มาจากฮอลลิส, ควีนส์ รัฐนิวยอร์ก ปัจจุบัน เธอได้เลี้ยงดูเอลลา ลอเรน ลูกสาวที่น่ารักของเธอร่วมกับนิโคลัส เจมส์ คนรักของเธอ ในลอสแองเจลิส

อิดริส เอลบ้า (Idris Elba) พากย์เสียง นัคเคิลส์

อิดริส เอลบ้าเป็นนักแสดง ผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ และนักดนตรีเจ้าของรางวัล ที่ยังคงรักษาตำแหน่งของเขาในฐานะหนึ่งในนักแสดงที่เก่งกาจที่สุดในฮอลลีวูดได้อย่างต่อเนื่อง เอลบ้าโด่งดังขึ้นมาจากการรับบทเป็น สตริงเจอร์ เบล ในซีรีส์ที่ได้รับการยกย่องของเอชบีโอเรื่อง “The Wire” ในปี 2010 เอลบ้าได้รับบทนำในมินิซีรีส์ของบีบีซีเรื่อง “Luther”  ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและแซ็ก อวอร์ด และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดสี่รางวัล

เมื่อเร็วๆ นี้ เอลบ้าเพิ่งได้ควบคุมงานสร้างและนำแสดงในทริลเลอร์โดยแอปเปิล ทีวี พลัสเรื่อง “Hijack” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงอีกหนึ่งรางวัลเอ็มมีสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีซันที่สอง หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงใน Heads of State ประกบจอห์น เซนาและปรียานกา โชปราและ Above the Below ที่เขาร่วมกำกับกับมาร์ติน โอเวน

ผลงานภาพยนตร์มากมายของเอลบ้ารวมถึง American Gangster, Mandela: Long Walk to Freedom, Beasts of No Nation, The Mountain Between Us, Avengers: Age of Ultron, Avengers: Infinity War, Molly’s Game, Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw, Concrete Cowboy, The Suicide Squad, The Harder They Fall, Three Thousand Years of Longing, Beast, The Suicide Squad และ Luther: The Fallen Sun

ด้านแอนิเมชั่น เอลบ้าได้พากย์เสียงในภาพยนตร์เรื่องต่างๆ เช่น The Jungle Book, Finding Dory และ Zootopia ตลอดไปจนถึงภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ได้รับรางวัลออสการ์เรื่อง The Boy, the Mole, the Fox and the Horse และซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง “Knuckles” ซึ่งทำลายสถิติการเปิดตัวที่ดีที่สุดสำหรับซีรีส์ออริจินอลของพาราเมาท์ พลัส สำหรับงานเบื้องหลัง เอลบ้าได้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกที่งานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ด้วย Yardie (2018) ในปี 2024 เขาได้ก่อตั้ง 22 ซัมเมอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทงานสร้างเต็มรูปแบบ

คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) พากย์เสียง ชาโดว์

คีอานู รีฟส์ เป็นหนึ่งในพระเอกที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดของฮอลลีวูด ด้วยผลงานภาพยนตร์ที่กวาดรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศรวมกว่า 4.5 พันล้านเหรียญ รีฟส์ ผู้เป็นนักแสดงที่มีผลงานหลากหลายอย่างน่าทึ่ง ได้สร้างตำนานในโลกบันเทิงผ่านทางบทบาทหลากหลายที่เขาแสดง เมื่อปีที่แล้ว เขาได้กลับสู่จอเงินอีกครั้งใน John Wick: Chapter 4 ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดของแฟรนไชส์นี้ด้วยรายได้ 440 ล้านเหรียญทั่วโลก แฟรนไชส์นี้ทำรายได้ไปกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญจนถึงตอนนี้

โปรเจ็กต์ล่าสุดเรื่องอื่นๆ ของรีสฟ์รวมถึงมินิซีรีส์ดิสนีย์ พลัสเรื่อง “Brawn: The Impossible Formula 1 Story” และวิดีโอเกม “Cyberpunk 2077” เขาได้พากย์เสียงตัวละครแอนิเมชั่น ดุ๊ค คาบูมใน Toy Story 4 และได้แสดงใน John Wick 3: Parabellum และ Always Be My Maybe เขาได้กลับมารับบท นีโอ ซึ่งเป็นบทเด่นของเขาอีกครั้งในภาพยนตร์แอนิเมชั่นปี 2021 เรื่อง The Matrix Resurrections และได้ร่วมแสดงกับอเล็กซ์ วินเทอร์ในซีเควลที่หลายคนรอคอยเรื่อง Bill and Ted Face the Music

หลังจากนี้ รีฟส์จะได้แสดงในภาพยนตร์ปี 2025 เรื่อง Good Fortune ประกบเซธ โรแกนและอาซิส อันซารี ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย นอกเหนือจากนั้น เขายังจะได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในละครเวทีโดยซามวล เบ็คเก็ตต์เรื่อง “Waiting for Godot” ที่กำกับโดยเจมี ลอยด์และจะเปิดตัวในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า รีฟส์จะรับบทเอสทรากอนและอเล็กซ์ วินเทอร์ ผู้แสดงร่วมกับรีฟส์ใน Bill & Ted’s Excellent Adventure จะรับบทวลาดิเมียร์

รีฟส์ได้เปิดตัวผลงานการเขียนการ์ตูนเรื่องแรกในปี 2021 ด้วย “BRZRKR” ซีรีส์จำกัด 12 เล่มที่จัดจำหน่ายผ่านทาง บูม! สตูดิโอส์ ที่กลายเป็นซีรีส์ออริจินอลที่ขายดีที่สุดในรอบกว่า 25 ปี นิยายเรื่องแรกของรีฟส์ The Book of Elsewhere เขียนร่วมกับนักเขียนรางวัล ไชนา เมียวิลล์ นิยายเรื่องนี้ ซึ่งมีเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกของซีรีส์การ์ตูนเรื่อง “BRZRKR” เล่าเรื่องของนักรบอมตะที่เดินทางยาวนานเป็นพันๆ ปีเพื่อตามหากุญแจที่นำมาสู่ความเป็นอมตะของเขา The Book of Elsewhere ตีพิมพ์โดยเดล เรย์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ภายใต้แรนดอม เฮาส์ พับลิชชิง กรุ๊ป ในวันที่ 23 กรกฎาคม ปี 2024 และได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลาม ก่อนที่จะเปิดตัวที่อันดับสามในลิสต์เบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์

ในปี 2013 รีฟส์เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขาและนำแสดงในภาพยนตร์แอ็กชั่นเรื่อง Man of Tai Chi นอกจากนี้ ในปีนั้น รีฟส์ยังได้แสดงใน 47 Ronin ด้วย ในปี 2012 สารคดีที่รีฟส์อำนวยการสร้างเรื่อง Side by Side ได้เปิดตัวที่งานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน ก่อนหน้านี้ รีฟส์ได้แสดงในไตรภาคบล็อกบัสเตอร์เรื่อง Matrix ประกบแคร์รี่ย์-แอนน์ มอสและลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น; Point Break ประกบแพทริค สเวย์ซีย์และ Speed ประกบแซนดรา บุลล็อค นอกจานกี้ เขายังได้แสดงใน The Private Lives of Pippa Lee ประกบโรบิน ไรท์; The Day the Earth Stood Still ประกบเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี; Street Kings ประกบฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์; The Lake House ประกบแซนดรา บุลล็อค; Constantine ประกบราเชล ไวซ์; Something’s Gotta Give ประกบแจ็ค นิโคลสันและไดแอน คีย์ตัน; The Gift ประกบเคท บลังเช็ตต์; Devil’s Advocate ประกบอัล ปาชิโนและชาร์ลิซ เธอรอนและ Much Ado about Nothing ประกบเดนเซล วอชิงตัน, เอ็มมา ธอมป์สันและไมเคิล คีย์ตัน

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของรีฟส์รวมถึง Generation Um, Henry’s Crime, The Bad Batch, The Neon Demon, A Scanner Darkly, Thumbsucker, Destination Wedding, To the Bone, Knock, Knock, Siberia, Replicas, Exposed, The Whole Truth, Hardball, Sweet November, The Replacements, Bill & Ted’s Bogus Journey, A Walk in the Clouds, Little Buddha, Bram Stoker’s Dracula, My Own Private Idaho, Johnny Mnemonic, Chain Reaction และ Feeling Minnesota

รีฟส์เติบโตในโตรอนโต เขาได้แสดงในละครเวทีหลายเรื่องในโรงละครท้องถิ่นและในจอแก้ว ก่อนที่จะย้ายไปลอสแองเจลิส บทบาทแรกที่ได้รับการยกย่องในวงกว้างของเขาคือในดรามาเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยทิม ฮันเตอร์เรื่อง River’s Edge หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงในภาพยนตร์โดยมาริสา ซิลเวอร์เรื่อง Permanent Record และได้ร่วมมือกับเอมี เมดิแกนและเฟร็ด วอร์ดใน The Prince of Pennsylvania หลังจากนั้น เขาก็ได้รับเลือกให้รับบท แดนเซนีในภาพยนตร์โดยสตีเฟน เฟรียส์ ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงและดัดแปลงจาก Dangerous Liaisons ประกบเกลนน์ โคลส, จอห์น มัลโควิชและมิเชลล์ ไฟเฟอร์ หลังจากนั้น รีฟส์ก็ได้ร่วมแสดงกับนักแสดงระดับแนวหน้าในภาพยนตร์คอเมดีโดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง Parenthood และภาพยนตร์โดยลอว์เรนซ์ คัสแดนเรื่อง I Love You to Death ผู้ชมได้เห็นรีฟส์รับบทพระเอกในภาพยนตร์รักเป็นครั้งแรกเมื่อเขาได้แสดงประกบบาร์บารา เฮอร์ชีย์ในภาพยนตร์โดยจอน เอมีลเรื่อง Tune in Tomorrow ที่ร่วมแสดงโดยปีเตอร์ ฟอล์ค

 

คริสเต็น ริตเตอร์ (Krysten Ritter) รับบท ผู้อำนวยการร็อคเวล

คริสเต็น ริตเตอร์ เป็นนักแสดงหญิงเจ้าบทบาท ที่มีความงามแบบคลาสสิกและแรงดึงดูดใจ เธอได้ก้าวข้ามเส่นแบ่งสื่อประเภทต่างๆ ด้วยผลงานที่น่าประทับใจของเธอในภาพยนตร์ โทรทัศน์ ละครเวที การเขียนบท การอำนวยการสร้าง ดนตรีและการออกแบบแฟชั่น ริตเตอร์เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงนำในซีรีส์ออริจินอลของเน็ตฟลิกซ์ที่ได้รับรางวัลเรื่อง “Jessica Jones” ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามา ซีรีส์นี้ได้รับรางวัลพีบอดี้ อวอร์ดอันทรงเกียรติในวงการบันเทิงในปี 2016 ในปีเดียวกันนั้นเอง ริตเตอร์ก็ได้กลับมารับบทเดิมอีกครั้งในซีรีส์ใหญ่ของเน็ตฟลิกซ์เรื่อง “The Defenders”

นอกจากนั้น ริตเตอร์ยังเป็นที่รู้จักดีจากบทนำในซีรีส์คัลท์ขวัญใจนักวิจารณ์ทางเอบีซีเรื่อง “Don’t Trust the B—-in Apartment 23” บทบาทแจ้งเกิดของเธอคือบทเจน มาร์โกลิสในซีรีส์ที่ได้รับรางวัลเอ็มมีและลูกโลกทองคำของเอเอ็มซีเรื่อง “Breaking Bad” ในปี 2019 เธอได้กลับมารับบทเดิมอีกใน El Camino: A Breaking Bad Movie

ล่าสุด ริตเตอร์เพิ่งปิดกล้องซีรีส์เอเอ็มซีเรื่อง “Orphan Black” ที่เป็นสปินออฟของ “Orphan Black: Echoes” นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในซีรีส์จำกัดเกี่ยวกับอาชญากรรมที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาของแม็กซ์เรื่อง “Love and Death” ประกบอลิซาเบธ โอลเซน, เจสซี พลีมอนส์, แพทริค ฟูกิทและลิลลี เร้บ ซีรีส์นี้เล่าเรื่องจริงของการฆาตกรรมเบ็ตตี้ กอร์ในปี 1980 โดยแม่บ้านชาวเท็กซัส แคนดี้ มอนท์โกเมอร์รี

ด้านภาพยนตร์ ริตเตอร์ได้แสดงในภาพยนตร์แฟนตาซีเรื่อง Nightbooks ในบทแม่มดผู้ชอบจับเด็กๆ มาใส่เครื่องบิด เธอได้แสดงประกบ เอมี อดัมส์ในภาพยนตร์โดยทิม เบอร์ตันเรื่อง Big Eyes ดรามาที่เล่าเรื่องการตื่นรู้ของจิตรกรนามมาร์กาเร็ต คีน และได้แสดงในภาพยนตร์อินดีที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมโดยอเล็กซ์ รอส เพอร์รีเรื่อง Listen Up Phillip ประกบเจสัน ชวาร์ทซ์แมน

ผลงานละครเวทีของริตเตอร์รวมถึงละครเวทีโดยนีล ลาบู๊ทเรื่อง “Heart of the Matter” ที่ลูซิลล์ ลอร์เทล เธียเตอร์, ละครเวทีโดยแซ็ค บราฟเรื่อง “All New People” ที่เซคคันด์ สเตจและละครเวทีโดยราจีฟ โจเซฟเรื่อง “All This Intimacy” ที่เซคคันด์ สเตจ อัพทาวน์

ริตเตอร์เป็นผู้ก่อตั้งไซเลนท์ แมชชีน บริษัทโปรดักชัน ที่ตั้งเป้าในการให้ความสำคัญกับตัวเอกหญิงที่ซับซ้อน เธอรับหน้าที่ผู้ร่วมควบคุมงานสร้างและได้กำกับสี่เอพิโซดแรกของซีรีส์พีค็อก ออริจินอลเรื่อง “Girl in the Woods” ดรามาเหนือธรรมชาติสำหรับเยาวชน ที่มีทีมเขียนบทหญิงล้วน และเล่าเรื่องของประตูลึกลับในป่าที่นำไปสู่อีกมิติหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัว ซีรีส์นี้เล่าถึงประเด็นร่วมสมัยทางสังคมเช่นการกีดกันที่เกี่ยวกับสภาวะทางเพศ LBGTQ+ ค่าตอบแทนมนุษย์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและผลลัพธ์ที่ตามมาของความไม่เท่าเทียมกัน

นิยายเปิดตัวชื่อดังของริตเตอร์ Bonfire ตีพิมพ์ในปี 2017 และวางจำหน่ายทั่วทุกแห่งที่หนังสือวางจำหน่าย ทริลเลอร์จิตวิทยาเรื่องนี้เล่าเรื่องของทนายความทางสิ่งแวดล้อมที่เปิดโปงความลับเกี่ยวกับบ้านเกิดของเธอระหว่างการสืบสวนบริษัทท้องถิ่นที่ถูกสงสัยว่าทิ้งสารเคมี นิยายเรื่องถัดมาของเธอ Retreat มีกำหนดวางจำหน่ายในปี 2025 จากฮาร์เปอร์คอลลินส์

นอกเหนือจากเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว ริตเตอร์ยังชื่นชอบการถักนิตติ้งและมักจะทำโปรเจ็กต์นิตติ้งสุดโต่งต่างๆ ไม่ว่าเธอจะเดินทางหรืออยู่ในกองถ่าย เธอได้ร่วมมือกับดับบลิวเอเค (วี อาร์ นิตเตอร์ส) ในการสร้างคอลเล็กชั่น แคปซูล ที่ปัจจุบันสามารถดูได้ทางร้านค้าออนไลน์ของดับบลิวเอเค

ลี มัจดูบ (Lee Majdoub) รับบท เอเจนท์สโตน

ลี มัจดูบเป็นนักแสดงเชื้อสายเลบานอน-แคนาดา ผู้สร้างผลงานที่น่าประทับใจอย่างต่อเนื่องทั้งในจอแก้วและจอเงิน มัจดูบพูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศสและอาราบิกได้อย่างคล่องแคล่ว แบ็คกราวน์หลากวัฒนธรรมของเขาส่งอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่ออาชีพของเขาและเขาก็นำมิติที่มีเอกลักษณ์มาสู่ผลงานของเขา ที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยงให้กับผู้ชมทั่วโลก ความรักที่เขามีต่อการสนับสนุนให้เกิดความหลากหลาย การมีส่วนร่วมและการตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิตมีรากเหง้ามาจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาในฐานะผู้อพยพและความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อการขยายเสียงที่ไม่มีใครได้ยินเหล่านั้น

หนึ่งในบทบาทที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดของมัจดูบคือบทเอเจนท์สโตน ผู้ช่วยหัวไวของดร.โรบ็อทนิค ตัวละครของจิม แคร์รี่ย์ใน Sonic the Hedgehog (2020) การแสดงของเขากลายเป็นขวัญใจแฟนๆ และในปี 2022 เขาก็ได้กลับมารับบทเดิมอีกครั้งในซีเควลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ล่าสุด มัจดูบได้ก้าวสู่แวดวงภาพยนตร์อินดีด้วยบทบาทในโปรเจ็กต์ต่างๆ เช่น Get Fast (2024) ภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่อัดแน่นไปด้วยแอ็กชั่นเกี่ยวกับหัวขโมยและเด็กกำพร้าที่ต้องช่วยเหลือคู่หูที่ถูกลักพาตัวไปจากเงื้อมมือของเจ้าพ่อยาเสพติดผู้โหดเหี้ยม

ในปี 2023 มัจดูบได้แจ้งเกิดด้วยบทบาทของเขาในวิดีโอเกมที่ได้รับความนิยมอย่างสูง “Assassin’s Creed Mirage” ที่เขาพากย์เสียงตัวละครเอก บาซิม อิบินา อิชฮัค การแสดงของเขาทำให้เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและทำให้สถานะของเขาในโลกของการเล่าเรื่องที่กลมกลืนมั่นคงขึ้นด้วย ก่อนหน้านี้ มัจดูบได้ร่วมแสดงในซีรีส์คอเมดีไซไฟโดยเกร็ก แดเนียลส์เรื่อง “Upload” ในซีซันที่สี่ ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายทางอเมซอน ไพรม์

การเดินทางของนักแสดงหนุ่มจากวัยเด็กที่อยู่ภายใต้สงคราม ไปสู่การมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกเป็นเครื่องพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงความมุมานะและความรักที่เขามีต่อการเล่าเรื่อง มัจดูบเกิดในเลบานอนในช่วงสงครามกลางเมืองในปี 1982 มัจดูบอายุได้เพียงแค่หนึ่งเดือนในตอนที่ครอบครัวของเขาหนีไปอิตาลี พออายุได้ห้าขวบ เขาก็ได้ย้ายไปสวิตเซอร์แลนด์ และเมื่ออายุได้ 10 ขวบ ครอบครัวของเขาก็ย้ายไปออตโตวา ช่วงเวลาในวัยเด็กของเขาในสภาพที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเหล่านี้ช่วยหล่อหลอมมุมมองที่มีต่อโลกของเขาและช่วยทำให้ความเข้าใจที่เขามีต่อเรื่องอัตลักษณ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อเขาอายุได้ 14 ปี ครอบครัวของเขาได้ย้ายไปมอนทรีอัลและพอเขาอายุได้ 18 ปี พวกเขาก็ลงหลักปักฐานในลอสแองเจลิส ที่ซึ่งเขาค้นพบว่าการแสดงเป็นสิ่งที่เขารักอย่างแท้จริง แม้ว่าตอนแรกเขาจะเดินไปบนเส้นทางการศึกษา พออายุ 20 ปี เขาก็ได้เข้าเรียนในชั้นการแสดงครั้งแรก และพออายุได้ 25 ปี เขาก็ตัดสินใจทุ่มเทให้กับความฝันในการเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว

หลังจากนั้น มัจดูบก็ย้ายไปแวนคูเวอร์และเริ่มขัดเกลาฝีมือของเขาและสะสมผลงานของตัวเอง บทบาทแจ้งเกิดของเขาคือซีรีส์ปี 2007 เรื่อง “Bionic Woman” และผลงานช่วงเริ่มแรกก็รวมถึงบทรับเชิญในซีรีส์ “Arrow,” “Once Upon a Time,” “Supernatural,” “Prison Break” และ “UnREAL” ที่แสดงให้เห็นถึงระดับความสามารถและความสามารถที่หลากหลายของเขา อย่างไรก็ดี การแสดงของเขาใน “Dirk Gently’s Holistic Detective Agency” (2016) ทางบีบีซี อเมริกา ก็ได้รับความสนใจในวงกว้าง และทำให้เขาได้รับรางวัลลีโอ อวอร์ดสาขาการแสดงรับเชิญยอดเยี่ยมโดยนักแสดงชาย

อาชีพของมัจดูบยังคงรุ่งโรจน์อย่างต่อเนื่องด้วยการแสดงที่น่าจดจำในบทเนลสันใน “The 100” และนาธานใน “You Me Her” นอกจากนี้ พรสวรรค์ด้านการพากย์เสียงยังกลายเป็นสิ่งล้ำค่า ที่นำไปสู่ผลงานในวิดีโอเกมมากมาย รวมถึง “Star Wars: Outlaws” เกมนี้ซึ่งเป็นเกม Star Wars แบบโลกเปิดเกมแรกมีเรื่องราวเกิดขึ้นระหว่างเรื่อง The Empire Strikes Back และ Return of the Jedi

 

นาตาชา ร็อธเวล (Natasha Rothwell) รับบท ราเชล

นาตาชา ร็อธเวลเป็นผู้สร้าง ผู้ควบคุมงานสร้งและนักแสดงนำของซีรีส์ฮูลูเรื่อง “How to Die Alone” ซึ่งกำลังแพร่ภาพอยู่ในปัจจุบัน ร็อธเวลเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีของเธอในบท เบลินดา ลินด์ซีย์ในซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “The White Lotus” และถูกวางตัวให้กลับมารับบทเดิมอีกครั้งในซีซันสามของซีรีส์นี้ ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2025

นอกจากนี้ ร็อธเวลยังเป็นที่รู้จักจากผลงานที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมของเธอในฐานะขาประจำซีรีส์ มือเขียนบท ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างของซีรีส์เอชบีโอเรื่อง “Insecure” ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลพีบอดี้ อวอร์ดและได้รับรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดปี 2022 สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในคอเมดี

ปัจจุบัน ร็อธเวลได้รับบทมัมมี ชาร์คใน “Baby Shark’s Big Show” เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้รับบทไปเปอร์ เบนซ์ใน Wonka และพากย์เสียง ซากินาในภาพยนตร์ที่ฉลองครบรอบ 100 ปีของดิสนีย์เรื่อง Wish ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอรวมถึง Sonic the Hedgehog และซีเควล รวมไปถึง Wonder Woman 1984 ด้านจอแก้ว เธอได้แสดงในซีรีส์หลายเรื่องเช่น “Brooklyn Nine-Nine,” “The Characters” และ “A Black Lady Sketch Show”

ผลงานการพากย์เสียงของร็อธเวลรวมถึง Aqua Teen Forever: Plantasm และซีรีส์แอนิเมชั่นเรื่อง “The Simpsons,” “Sausage Party: Foodtopia,” “Archer,” “Bojack Horseman,” “Bob’s Burgers,” “American Dad” และ “Tuca & Bertie”

หลังจากเขียนบทรายการ “Saturday Night Live” ทางเอ็นบีซีและเขียนบทภาพยนตร์ให้กับเน็ตฟลิกซ์, พาราเมาท์และเอชบีโอ ร็อธเวลก็ได้เห็น Black Comic-Con บทภาพยนตร์ออริจินอลของเธอได้รับเลือกสำหรับซันแดนซ์ สกรีนไรเตอร์ส แล็บในปี 2021 ภาพยนตร์ที่ผสมผสานแนวต่างๆ และโปรเจ็กต์อื่นๆ กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาที่บิ๊ก แฮ็ตตี้ โปรดักชันส์ ซึ่งเธอก่อตั้งในปี 2020 เพื่อให้ความสำคัญกับการสร้างและอำนวยการสร้างโปรเจ็กต์ที่สนับสนุนเสียงของคนกลุ่มน้อยในสังคมในลักษณะที่ช่วยล้มล้างความคิดแบบเดิม

 

อดัม แพลลี (Adam Pally) รับบท เว้ด

อดัม แพลลี ค้นพบที่ทางของตัวเองในฐานะนักแสดงและนักแสดงตลกในฮอลลีวูดอย่างรวดเร็ว เขาเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทบาทแจ้งเกิดของเขาในฐานะ แม็กซ์ บลัม หนึ่งในตัวละครหลักในคอเมดีเอบีซีเรื่อง “Happy Endings” ประกบเอไลซา คูเป้, เอไลชา คัธเบิร์ท, แซ็คคารี ไนท์ตันและเดมอน วายันส์, จูเนียร์ ในปี 2013 แพลลีได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์คอเมดีจากเวทีคริติกส์ ชอยส์ เทเลวิชัน อวอร์ดจากผลงานของเขาในซีซันสามของซีรีส์ “Happy Endings” ทีมนักแสดงชุดนี้ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในปี 2020 สำหรับเอพิโซดที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดที่ชื่อ “And the Pandemmy Goes to…” เพื่อระดมทุนให้กับองค์กรการกุศล คัลเลอร์ ออฟ เชนจ์และเวิลด์ เซ็นทรัล คิชเชน

ปัจจุบัน เขามีผลงานเป็นซีรีส์ม็อคคิวเมนทารีเอ็นบีซี/พีค็อกเรื่อง “Mr. Throwback” ซึ่งได้ดาวเด่นเอ็นบีเอ ออลสตาร์ สเตฟ เคอร์รี มารับบทเป็นตัวเองเวอร์ชันสมมติ ในซีรีส์นี้ แพลลีรับบทพ่อค้าของที่ระลึกตกยาก ที่หันไปหาเพื่อนเก่าสมัยเรียน (เคอร์รี) เพื่อขอความช่วยเหลือ แพลลีได้สร้างซีรีส์นี้และรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่อง

แพลลีได้ร่วมมือกับเคซีย์ วิลสัน เพื่อนร่วมแสดงจาก “Happy Endings” ใน “Happy Endings Recap Podcast” ที่เพิ่งเปิดตัว โดยในรายการดังกล่าว พวกเขาจะนั่งคุยกับผู้สร้าง นักแสดงและมือเขียนบทของซีรีส์ หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงในดราเมดีไซไฟของแมดเดอลิน แซ็คเลอร์เรื่อง O Horizon ประกบมาเรีย บัคลาวาและเดวิด สเตรเธรน

หลังจากความสำเร็จของ “Happy Endings” แพลลีก็ได้ร่วมงานกับทีมนักแสดงของ “The Mindy Project” ในฐานะขาประจำของซีรีส์ในซีซันที่สองและสาม ในบทของดร.ปีเตอร์ เพรนทิซ เขาเป็นผู้รับบท เว้ด ใน Sonic the Hedgehog และ Sonic the Hedgehog 2 ก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งในซีรีส์สปินออฟเรื่อง “Knuckles” ที่กำลังแพร่ภาพทางพาราเมาท์ พลัส ในซีรีส์ดังกล่าว นัคเคิลส์ (ที่พากย์เสียงโดยอิดริส เอลบ้า) ตกลงที่จะรับเว้ดเป็นศิษย์ และสอนวิถีนักรบเอชิดนาให้กับเขา

แพลลีได้แสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Iron Man 3, Taking Woodstock, Solitary Man, Assassination of a High School President, The To Do List, A.C.O.D., Slow Learners, Search Party, Who Invited Charlie? และ Night Owl

เมื่อเร็วๆ นี้ แพลลีได้แสดงประกบอาร์โนลด์ ชวอร์ซเนกเกอร์ในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง “FUBAR” แพลลีและเพื่อนเก่าของเขา จอน กาบรัสได้เป็นพิธีกรรายการคอเมดีเดินทางของเอชบีโอ แม็กซ์ในชื่อ “101 Places to Party Before You Die” ที่สร้างจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ เขาได้เป็นแขกรับเชิญของรายการ “Last Week Tonight With John Oliver,” “Californication” และ “The Colbert Report”

แพลลีได้เขียนบทและปรากฏตัวในซีรีส์ทางอดัลท์ สวิมเรื่อง “NTSF:SD: SUV” ซีรีส์ “Champaign ILL” ของเขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมในตอนที่มันเปิดตัวครั้งแรกทางยูทูบ พรีเมียมในปี 2018 ก่อนที่ทั้ง 10 เอพิโซดของซีรีส์นี้จะได้ถูกนำไปฉายทางฮูลู

แพลลีเป็นสมาชิกของอัพไรท์ ซิตีเซนส์ บริเกด ตั้งแต่ปี 2003 และยังคงเขียนบทและแสดงสเก็ตช์ คอเมดีอย่างต่อเนื่อง เขาได้เขียนบทและแสดงในรายการสเก็ตช์ คอเมดีที่เปิดการแสดงยวานานที่โรงละคร ร่วมกับคณะสเก็ตช์ คอเมดีของเขา ฮ็อต ซอส ผู้ได้แสดงที่งาน 2007 มอนทรีอัล จัสต์ ฟอร์ ลัฟส์ คอเมดี เฟสติวัล

แพลลีมาจากเมืองลีฟวิงสตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ เขาสำเร็จการศึกษาจากนิว สคูลในนิวยอร์กและปัจจุบัน อาศัยอยู่ในนิวยอร์ก

 

เชมาร์ มัวร์ (Shemar Moore) รับบท แรนดัลล์

เชมาร์ มัวร์เป็นนักแสดง นายแบบ และผู้ใจบุญที่ได้รับรางวัล ปัจจุบัน เขาได้ทำงานในฮอลลีวูดมา 30 ปีแล้ว เขาได้แสดงเป็นดีเร็ก มอร์แกนในดรามาอาชญากรรมสุดฮิตเรื่อง “Criminal Minds” นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2005 ปัจจุบัน เขารับบท แดเนียล “ฮอนโด” ฮาร์เรลสันในซีรีส์ยอดนิยมทางซีบีเอสเรื่อง S.W.A.T. ที่เปิดตัวซีซันที่แปดไปในเดือนตุลาคม ตัวละครของมัวร์เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยสวาท ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลหน่วยกลยุทธพิเศษในลอสแองเจลิส

ก่อนหน้านี้ การแสดงภาพของเขาในบทมัลคอล์ม วินเทอร์สในเรื่อง “The Young and the Restless” ทำให้เขาได้รับรางวัลเดย์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามาในปี 2000 นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเดย์ไทม์ เอ็มมีสาขานักแสดงนำชายอายุน้อยกว่าในซีรีส์ดรามาในปี 1996 และ 1997 และสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามาในปี 1999 ด้วย เชมาร์ได้รับรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดแปดรางวัล ล่าสุดในปี 2015 ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามา (“Criminal Minds”)

ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของมัวร์รวมถึงการแสดงนำในซีรีส์ดับบลิวบีเรื่อง “Birds of Prey” ประกบแอชลีย์ สก็อตและดีนา ไมเออร์และมินิซีรีส์ “Reversible Errors” ประกบวิลเลียม เอช เมซี และทอม เซลเล็ค นอกจากนี้ เขายังได้เป็นพิธีกรรายการ “Soul Train” นานสี่ซีซันด้วย

ในไม่กี่ปีมานี้ มัวร์ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Sonic the Hedgehog 2 ประกบเบน ชวาร์ตซ์, อิดริส เอลบ้าและจิม แคร์รี่ย์ ในปี 2016 เขาได้นำแสดงและอำนวยการสร้างภาพยนตร์อินดีเรื่อง The Bounce Back ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง The Brothers (2001) และภาพยนตร์เรื่อง Motives (2004)ประกบวิวิก้า ฟ็อกซ์ เขาเคยแสดงบทสมทบในภาพยนตร์เรื่อง Diary of a Mad Black Woman และยังได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีเรื่อง The Seat Filler ประกบเคลลี โรว์แลนด์ด้วย

ในปี 1998 มาริลิน วิลสัน แม่ของเชมาร์ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ตั้งแต่นั้นมา เขาก็มุ่งมั่นที่จะสร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรคนี้และเป็นโฆษกของสมาคมเอ็มเอสแห่งชาติ เขาได้เข้าร่วมการขี่จักรยาน ไบค์ เอ็มเอส ประจำปีจากซานตา บาร์บารา รัฐแคลิฟอร์เนีย ไปยังลอสแองเจลิสตลอดเก้าปีที่ผ่านมา เพื่อระดมเงินบริจาคให้กับการกุศลที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ ส่วนหนึ่งของผลกำไรจากไลน์เสื้อผ้าของเชมาร์ “Baby Girl” (ซึ่งตั้งชื่อตามวลีที่เขามักใช้ใน “Criminal Minds”) ก็บริจาคให้กับสมาคมเอ็มเอสแห่งชาติด้วยเช่นกัน

มัวร์เกิดที่เมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และเติบโตในเดนมาร์กและบาห์เรนในช่วงหกปีแรกของชีวิตเมื่อแม่ของเขา ผู้เป็นนักการศึกษา ได้ไปสอนในต่างประเทศ ในช่วงเวลานั้น เขาได้เดินทางกับแม่ไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น เยอรมนี กานา ปากีสถาน หมู่เกาะเวอร์จิเนีย และกรีซ เมื่อกลับมายังสหรัฐอเมริกาเมื่ออายุได้ 6 ขวบ พวกเขาก็ย้ายไปอยู่ทั่วประเทศ ก่อนที่จะมาตั้งรกรากที่เมืองพาโล อัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซานตา คลาราด้วยปริญญาตรีด้านการสื่อสารและ โทศิลปะการละคร เขาเป็นนักเบสบอลผู้ได้รับทุนการศึกษาในวิทยาลัย โดยเขาได้เล่นเป็นทั้งพิทเชอร์และเอาท์ฟิลเดอร์ตลอดสี่ปีนั้น ปัจจุบัน เขาอาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส

 

คอลลีน โอเชาเนซีย์ (Colleen O’ Shaughnessey) พากย์เสียง เทลส์

คอลลีน โอ’ เชาเนซีย์ เป็นนักพากย์เสียงที่มีผลงานในซีรีส์แอนิเมชั่น ภาพยนตร์ ตลอดไปจนถึงวิดีโอเกม และโฆษณา เธอเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทเทลส์ใน “Sonic Boom,” วอสป์ใน “Avengers – Earth’s Mightiest Heroes,” แจ๊สใน “Danny Phantom” และโซระใน “Digimon” เธอตื่นเต้นมากที่ได้กลับมารับบท เทลส์ อีกครั้งในภาพยนตร์ Sonic the Hedgehog, ซีเควลและซีรีส์พาราเมาท์ พลัสเรื่อง “Knuckles” ในการเฉลิมฉลองการครบรอบปีที่  10 ที่เธอได้พากย์เสียงตัวละครตัวนี้ในเกม ซีรีส์และภาพยนตร์ของแฟรนไชส์ Sonic เธอก็ตื่นเต้นที่แฟนๆ โซนิคจะได้เห็นผลงานใหม่ของเธอ

 

ผลงานภาพยนตร์ของเธอรวมถึง War for the Planet of the Apes, Storks, Monsters University, Toy Story 3, Horton Hears a Who, Ponyo, Spirited Away และ Cars ผลงานจอแก้วของเธอรวมถึง “The Loud House,” “Miraculous Ladybug,” “Doc McStuffins,” “If You Give a Mouse a Cookie,” “Naruto,” “Boruto: Naruto Next Generations,” “The Glitter Force” และ “Bleach” เธอได้พากย์เสียงโฆษณาดิช, บริทา, เอทีแอนด์ที, แม็คโดนัลด์, เล็กซัส, ยาฮู! และโฮล ฟู้ดส์

 

อาลีลา บราวน์ (Alyla Browne) รับบท มาเรีย

อาลีลา บราวน์ เป็นนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัล ผู้ซึ่งมีผลงานทั้งในจอแก้วและจอเงินในออสเตรเลียและต่างประเทศ บราวน์เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการรับบทนำร่วมกับอันยา เทย์เลอร์-จอยในภาพยนตร์โดยจอร์จ มิลเลอร์เรื่อง Furiosa: A Mad Max Saga พวกเธอรับบทตัวละครที่ถูกทำให้โด่งดังโดยชาร์ลิซ เธอรอนใน Mad Max: Fury Road บราวน์ได้แสดงในภาพยนตร์มากมาย รวมถึงรีเมกภาพยนตร์สยองขวัญคลาสสิกเรื่อง Children of the Corn, ภาพยนตร์โดยจอร์จ มิลเลอร์เรื่อง Three Thousand Years of Longing (รับบททิลดา สวินตันวัยสาว) และ True Spirit ที่สร้างจากเรื่องจริงของกะลาสีนักบุกเบิกวัยรุ่น เจสสิกา วัตสัน

ล่าสุด บราวน์รับบท ชาร์ล็อตต์ ประกบไรอัน คอร์ในภาพยนตร์เรื่อง Sting ที่เขียนบทและกำกับโดยไคอาห์ โร้ค เทิร์นเนอร์ (ผู้สร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่อง Wyrmwood ในออสเตรเลีย)

ผลงานจอแก้วของบราวน์รวมถึงการรับบทลูกสาวของนิโคล คิดแมนในซีรีส์ปี 2021 เรื่อง “Nine Perfect Strangers” และเวอร์ชันเด็กของนักแสดงนำ เบเบ้ เบ็ทเทนคอร์ทในซีรีส์ออริจินอลทางสแตนเรื่อง “Eden” บทบาทแรกของเธอคือในซีรีส์ยอดนิยมทางเอฟเอ็กซ์/ฮูลูเรื่อง “Mr Inbetween” ที่กำกับโดยแนช เอ็ดเกอร์ตัน เธอได้รับบทอลิซ ฮาร์ทวัยเด็กในซีรีส์ชื่อดังทางอเมซอน ไพรม์เรื่อง “The Lost Flowers of Alice Hart” ประกบซิเกอร์นีย์ วีฟเวอร์, แอชเชอร์ เค็ดดี้และอาลิเซีย เด็บแนม-แคร์รี่ย์

 

เจมส์ โวล์ค (James Wolk) รับบท วอลเตอร์สวัยเด็ก

เจมส์ โวล์ค เป็นหนึ่งในนักแสดงที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดของฮอลลีวูด เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลมากมายจากบทประจำของเขาในซีรีส์เอเอ็มซีเรื่อง “Mad Men” ในบทบ็อบ เบนสัน พนักงานขายโฆษณาเจ้าเสน่ห์ผู้ลึกลับ เมื่อเร็วๆ นี้ โวล์ครับบทนำในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “Ordinary Joe” ซีรีส์ดรามาเรื่องนี้เล่าเรื่องราวสามเรื่องที่แตกต่างกันแต่ดำเนินไปแบบคู่ขนาน ในตอนที่ผลลัพธ์ของการตัดสินใจครั้งเดียวในคืนจบการศึกษาของนักศึกษาหนุ่มได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของเขา  นอกจากนี้ เขายังได้รับบทประจำที่สำคัญใน “Watchmen” ซีรีส์ดรามาของแม็กซ์ที่สร้างจากซีรีส์หนังสือการ์ตูนชื่อดังโดยอลัน มัวร์และเดฟ กิ๊บบอนส์ ซีรีส์นี้ที่เขียนบทโดยเดมอน ลินเดลอฟ เป็นการนำเสนอมุมมองแบบเสียดสีและดิสโทเปียที่มีต่อซูเปอร์ฮีโร

เมื่อเร็วๆ นี้ โวล์คเพิ่งปิดกล้องซีรีส์ใหม่ทางพาราเมาท์ พลัสเรื่อง “Happy Face” ประกบเดนนิส เควดและแอนนาลีห์ แอชฟอร์ด ซีรีส์นี้สร้างจากพ็อดคาสต์เกี่ยวกับอาชญากรรมชื่อเดียวกันของไอฮาร์ทเรดิโอ

ต้นปีนี้ โวล์คได้แสดงประกบพอล วอลเตอร์ เฮาเซอร์และวอลตัน ก๊อกกินส์ในภาพยนตร์อินดีเรื่อง feature The Luckiest Man in America ที่สร้างจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์โทรทัศน์ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงใน The Everything Pot ประกบลิซา เอเดลสไตน์ ในปี 2023 โวล์คได้แสดงประกบโจเอล เอ็ดเกอร์ตันในภาพยนตร์โดยจอร์จ คลูนีย์เรื่อง The Boys in the Boat ที่สร้างจากนิยายเบสต์เซลเลอร์ชื่อเดียวกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องจริงสุดพิเศษของทีมนักกีฬาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันที่ก้าวไปคว้าเหรียญทองในการแข่งขันเบอร์ลิน โอลิมปิคปี 1936

ด้านจอแก้ว โวล์คได้แสดงในซีซันแรกของซีรีส์ทริลเลอร์จิตวิทยาทางซีบีเอส ออล แอ็คเซสเรื่อง “Tell Me a Story”  ที่สร้างและอำนวยการสร้างโดยเควิน วิลเลียมสัน เขาได้พากย์เสียง ซูเปอร์แมน ในซีรีส์แอนิเมชั่นสำหรับผู้ใหญ่เรื่อง “Harley Quinn” สำหรับแม็กซ์ นอกจากนี้ โวล์คยังได้รับบทนำ แจ็คสัน ออซ ในซีรีส์ยอดนิยมทางซีบีเอสเรื่อง “Zoo” ที่สร้างจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันโดยนักเขียนคนดัง เจมส์ แพตเตอร์สัน เขาได้รับบทประจำในซีซันที่สองของซีรีส์ดรามากฎหมายทางอเมซอน ไพรม์เรื่อง “Goliath” ประกบบิลลี บ็อบ ธอร์นตัน

ผลงานจอแก้วมากมายของโวล์ครวมถึงซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง “Billions,” ซีรีส์ซีบีเอสเรื่อง “The Crazy Ones,” ซีรีส์ยูเอสเอ เน็ตเวิร์คเรื่อง “Political Animals,” ซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “Lone Star,” ซีรีส์เอบีซีเรื่อง “Happy Endings” และซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง “Shameless”

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึง The Stanford Prison Experiment ประกบบิล ครูดัพและไมเคิล แอนการาโน; For a Good Time Call ประกบอารี เกรย์เนอร์, ลอเรน มิลเลอร์และจัสติน ลอง; Always Woodstock ประกบอัลลิสัน มิลเลอร์และเจสัน ริตเตอร์; This Is Happening ประกบคลอริส ลีชแมนและจัดด์ เนลสันและ You Again ประกบคริสเต็น เบลและเจมี ลี เคอร์ติส

โวล์คเป็นชาวเมืองฟาร์มิงตัน ฮิลส์ รัฐมิชิแกนและสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนการละครมหาวิทยาลัยมิชิแกนในปี 2007 เขาได้รับบท แบรด โคเฮนในซีรีส์ฮอลมาร์ค ฮอล ออฟ เฟมเรื่อง “Front of the Class” (2008) ในซีรีส์นี้ที่สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกัน เขารับบทผู้ชายที่มีอาการของโรคทูเร็ตต์ตั้งแต่วัยเด็ก และฝ่าฟันอุปสรรคจนกลายมาเป็นครูผู้มีพรสวรรค์

 

ประวัติทีมผู้สร้าง

เจฟฟ์ ฟาวเลอร์ (Jeff Fowler)—ผู้กำกับ ผู้ควบคุมงานสร้าง

เจฟฟ์ ฟาวเลอร์เป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์และผู้ชำนาญการด้านวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ ซึ่งเปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกกับ Sonic the Hedgehog ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ยอดนิยมเรื่องนี้ดัดแปลงจากแฟรนไชส์วิดีโอเกมยุค 1990s ของเซก้าที่เป็นที่รัก นอกจากนี้ ฟาวเลอร์ยังได้กำกับซีเควลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงและเอพิโซดไพล็อตของซีรีส์ “Knuckles” สำหรับพาราเมาท์ พลัส โดยซีรีส์นี้เป็นซีรีส์เรื่องแรกที่สร้างจากจักรวาลโซนิค ก่อนหน้านี้ ฟาวเลอร์ได้กำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Gopher Broke ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการเตรียมงานสร้างภาพยนตร์ The Pink Panther เรื่องใหม่ในเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นสำหรับเอ็มจีเอ็ม ที่มีการวางตัวเอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์เป็นนักแสดงนำ

ฟาวเลอร์สำเร็จการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ แอนิเมชั่นจากริงก์ลิง คอลเลจ ออฟ อาร์ต แอนด์ ดีไซน์

 

แพ็ท เคซีย์ & จอช มิลเลอร์ (Pat Casey & Josh Miller)—บทภาพยนตร์ เรื่องราวโดย

แพ็ท เคซีย์ & จอช มิลเลอร์ เป็นผู้สร้างแฟรนไชส์ ที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการเขียนบทภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง Sonic the Hedgehog และซีเควล ซึ่งทั้งสองเรื่องทำรายได้เปิดตัวช่วงสุดสัปดาห์สูงสุดสำหรับภาพยนตร์ที่สร้างจากวิดีโอเกมในอเมริกาเหนือในปีที่พวกมันเปิดตัว

ล่าสุด เคซีย์และมิลเลอร์ได้เขียนบทภาพยนตร์ออริจินอลที่เพลิดเพลินใจสำหรับ Violent Night ภาพยนตร์แอ็กชั่นเรท R ที่นำแสดงโดยเดวิด ฮาร์เบอร์ในบทซานต้า และกำกับโดยทอมมี เวอร์โคลา ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวรอบปฐมทัศน์โลกที่นิวยอร์ก คอมิก-คอน และกวาดรายได้เกินกว่าทุกความคาดหวัง ปัจจุบัน เคซีย์และมิลเลอร์กำลังอยู่ระหว่างการเขียนบทซีเควล โดยที่เวอร์โคลาถูกวางตัวให้กำกับอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ คู่หูเขียนบทคู่นี้ยังได้ขายบทภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากวิดีโอเกมยอดนิยม “It Takes Two” ให้กับอเมซอน หลังจากสงครามแย่งชิงระหว่างสตูดิโอหกแห่ง

เคซีย์และมิลเลอร์เติบโตมาในมินนิโซต้า พวกเขาได้พบกันครั้งแรกระหว่างการถูกทำโทษช่วงมัธยมต้น พวกเขาได้ผูกมิตรกันและไม่นานนัก ก็เริ่มต้นทำงานร่วมกันเป็นผู้บริหารวัยรุ่นของรายการวาไรตี้ช่วงดึกของเคเบิลในท้องถิ่น ในแบบเดียวกับ Wayne’s World และ “Saturday Night Live” หลังจากอำนวยการสร้างภาพยนตร์ทุนต่ำสำหรับตลาดวิดีโอ ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกของพวกเขาเรื่อง Hey Stop Stabbing Me! ทั้งคู่ก็ได้แจ้งเกิดด้วยการสร้างซีรีส์แอนิเมชั่นออริจินอล “Golan the Insatiable” สำหรับฟ็อกซ์ ซึ่งแพร่ภาพสองซีซันและสร้างฐานแฟนได้กลุ่มหนึ่ง

 

จอห์น วิททิงตัน (John Whittington)—บทภาพยนตร์

จอห์น วิททิงตัน ได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง Sonic the Hedgehog 2 ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 400 ล้านเหรียญทั่วโลกและทำลายสถิติรายได้เปิดตัวช่วงสุดสัปดาห์ของภาคก่อนหน้านี้ในปี 2020 ที่สร้างสถิติรายได้เปิดตัวสำหรับภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากวิดีโอเกม ด้วยรายได้ 26.5 ล้านเหรียญในวันแรกที่เปิดตัว ล่าสุด วิททิงตันได้สร้างและควบคุมงานสร้าง “Knuckles” ซีรีส์จำกัดสำหรับพาราเมาท์ พลัส ซึ่งเปิดตัวในปีนี้ ก่อนหน้านี้ เขาได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง The Lego Ninjago Movie และ The Lego Batman Movie ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 311 ล้านเหรียญทั่วโลก นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมเขียนบท DC League of Super-Pets ซึ่งเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศ

ล่าสุด เขาได้รับการว่าจ้างจากเดวิด โอ. รัสเซลให้ดัดแปลงนิยายเรื่อง Boy 21 โดยแมทธิว ควิก สำหรับไลออนส์เกท โดยมีการวางตัวปีเตอร์ แรมซีย์ให้เป็นผู้กำกับ นอกจากนี้ เขายังได้ดัดแปลงนิยายชื่อดัง Remarkably Bright Creatures โดยมีการวางตัวแซลลี ฟิลด์เป็นนักแสดงนำและโอลิเวีย นิวแมนเป็นผู้กำกับ วิททิงตันได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ที่หลายคนรอคอยเรื่อง Free Guy 2 ที่นำแสดงโดยไรอัน เรย์โนลด์ส และมีการวางตัวชอว์น เลวีเป็นผู้กำกับ

ในช่วงเริ่มแรกของการทำงาน วิททิงตันได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง True Fan เกี่ยวกับสตีฟ บาร์ทแมน แฟนชื่อดังของทีมคับส์ บทภาพยนตร์เรื่องนี้ติดแบล็ค ลิสต์และวิททิงตันก็ได้ติดลิสต์ “10 มือเขียนบทน่าจับตามอง” ของวาไรตี้ด้วย

 

นีล เอช. มอริทซ์ (Neal H. Moritz)—ผู้อำนวยการสร้าง

นีล เอช. มอริทซ์ เป็นผู้ก่อตั้งออริจินอล ฟิล์มและเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างที่มีผลงานมากที่สุดในฮอลลีวูดปัจจุบัน มอริทซ์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์กว่า 60 เรื่อง ซึ่งทำรายได้รวมกว่าหนึ่งหมื่นสองพันล้านเหรียญทั่วโลก เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ทุกเรื่องในแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงอย่าง Fast & Furious ซึ่งรวมถึง Fast X ในปี 2023 ด้วย นอกจากนี้ มอริทซ์ยังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กับ Sonic the Hedgehog สองภาคแรก และปัจจุบัน อยู่ระหว่างการดูแลงานสร้างซีรีส์สปินออฟเรื่อง “Knuckles” ซึ่งเปิดตัวทางพาราเมาท์ พลัส

ในช่วงเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ มอริทซ์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์วัยรุ่นคลาสสิกเรื่อง I Know What You Did Last Summer และ Cruel Intentions ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึง 21 และ 22 Jump Street, Goosebumps and its sequel, I Am Legend, XXX, Click, Sweet Home Alabama, The Green Hornet, Total Recall (2012), Evan Almighty, Escape Room, Vantage Point และ Spenser Confidential

นอกจากนี้ มอริทซ์ยังประสบความสำเร็จในวงการจอแก้วด้วยผลงานซีรีส์หลายเรื่องที่กำลังออกอากาศอยู่ ซึ่งรวมถึงซีรีส์เสียดสีซูเปอร์ฮีโรที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีเรื่อง “The Boys” ซึ่งเป็นซีรีส์ที่มีผู้ชมสูงสุดของอเมซอน ไพรม์จนถึงปัจจุบันและซีรีส์สปินออฟ “Gen V” ผลงานจอแก้วเรื่องล่าสุดของเขารวมถึง “S.W.A.T.” ที่ตอนนี้แพร่ภาพซีซันที่แปดทางซีบีเอสและเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีผู้ชมสูงสุดทางเน็ตฟลิกซ์; “Goosebumps” ซึ่งแพร่ภาพซีซันที่สองทางดิสนีย์พลัส โดยมีเดวิด ชวิมเมอร์เป็นนักแสดงนำ; “Cruel Intentions” ซึ่งเปิดตัวทางอเมซอนในเดือนพฤศจิกายน และ “Long Bright River” ซึ่งดัดแปลงจากหนังสือชื่อดังของลิซ มัวร์และจะแพร่ภาพทางพีค็อกในปี 2025

ผลงานจอแก้วก่อนหน้านี้ของมอริทซ์รวมถึงซีรีส์เอเอ็มซีเรื่อง “Preacher,” ซีรีส์ไซไฟเรื่อง “Happy!” และ “Prison Break” ซึ่งแพร่ภาพ

ทางฟ็อกซ์ห้าซีซัน

มอริทซ์เป็นชาวลอสแองเจลิส เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จากยูซีแอลเอ ก่อนที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากปีเตอร์ สตาร์ค โปรดิวซิง โปรแกรมที่มหาวิทยาลัยเซาเธิร์นแคลิฟอร์เนีย

 

โทบี้ แอชเชอร์ (Toby Ascher)—ผู้อำนวยการสร้าง

โทบี้ แอชเชอร์เป็นผู้อำนวยการสร้างที่ออริจินอล ฟิล์ม เขาได้อำนวยการสร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่อง Sonic the Hedgehog ที่นำแสดงโดยจิม แคร์รี่ย์, อิดริส เอลบ้า, คีอานู รีฟส์และเจมส์ มาร์สเด็น แฟรนไชส์นี้ทำรายได้ไปกว่า 700 ล้านเหรียญทั่วโลก นอกจากนั้น เขายังได้ร่วมสร้างและรับหน้าที่ผู้บริหารงานสำหรับ “Knuckles” ซีรีส์สปินออฟจาก Sonic ที่นำแสดงโดยเอลบ้าและอดัม แพลลี โดยซีรีส์นี้เพิ่งกลายเป็นซีรีส์ออริจินอลที่มีผู้ชมสูงสุดสำหรับพาราเมาท์ พลัส ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีรีส์ “Golden Axe”

ก่อนหน้านี้ แอชเชอร์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Spenser Confidential ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์กและวินสตัน  ดุ๊ค และสร้างจากตัวละครที่เป็นที่รักของโรเบิร์ต บี. ปาร์คเกอร์ ในตอนที่มันเข้าฉาย Spenser Confidential เป็นภาพยนตร์ที่มีผู้ชมสูงสุดเป็นอันดับเจ็ดของเน็ตฟลิกซ์

 

โทรุ นากาฮาระ (Toru Nakahara)—ผู้อำนวยการสร้าง

โทรุ นากาฮาระ เป็นผู้อำนวยการสร้างของเซก้า ออฟ อเมริกา, อิงค์. ที่ทำงานในลอสแองเจลิส ในฐานะหัวหน้าผู้อำนวยการสร้าง เขามีบทบาทสำคัญในการอำนวยการสร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่อง Sonic the Hedgehog และซีรีส์ “Knuckles” ของพาราเมาท์ พลัส (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลโซนิคด้วยเช่นกัน) เขาทำหน้าที่เดียวกันในแต่ละแผนกของพาราเมาท์ ด้วยการดูแลตั้งแต่เรื่องของบท การคัดเลือกนักแสดง การถ่ายทำ จนถึงขั้นตอนโพสต์โปรดักชันและได้ทำงานร่วมกับผู้สร้างภาพยนตร์ทุกวันในแต่ละขั้นตอนงานสร้าง นอกจากนี้ เขายังทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมงานสร้างของ “Sonic Prime” (เน็ตฟลิกซ์)  และ “Golden Axe” (อยู่ระหว่างการถ่ายทำสำหรับซีบีเอส) นากาฮาระเป็นผู้อำนวยการสร้างของโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายหลายเรื่องเช่น Shinobi (ยูนิเวอร์แซล), Streets of Rage (ไลออนส์เกท) และ Eternal Champions (สกายแดนซ์)

นากาฮาระ ผู้เป็นอดีตทนายความหุ้นส่วนของพิลส์เบรี วินธอร์ป ชอว์ พิตต์แมน (สำนักงานแอลเอ) เป็นทนายความที่ได้รับใบอนุญาตในแคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ก และญี่ปุ่น เขามีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์บันเทิงมากมายในฐานะที่ปรึกษาด้านธุรกิจ/ที่ปรึกษากฎหมายเช่น งานภาพยนตร์ แอนิเมชั่น ทีวี กีฬา และธุรกิจต่อสู้ ลูกค้าของเขารวมถึงรอยซ์ เกรซีย์ (นักสู้เอ็มเอ็มเอ), ชิเงคิ มารุยามะ (นักกอล์ฟพีจีเอ) และฮิเดคิ มัตซุย (ผู้เล่น เอ็มแอลบี)