ทะลุมิติ สู่ใจกลางประวัติศาสตร์: ถอดรหัสความสำเร็จ “Bon Appétit, Your Majesty” และ “บุพเพสันนิวาส”
นาทีนี้ใครดู “Bon Appétit, Your Majesty” ซีรีส์เกาหลีทะลุมิติเรื่องใหม่ใน Netflix อยู่บ้างครับ? 🙋♀️ พอดูแล้วก็อดคิดถึงละครแห่งชาติอย่าง บุพเพสันนิวาส ไม่ได้เลยจริงๆ
พล็อตหลักคล้ายกันมาก คือสาวเก่งยุคใหม่ย้อนเวลากลับไปในอดีต แต่พอเจาะลึกลงไป โดยเฉพาะเรื่อง “อาหาร” บอกเลยว่าคนละเรื่อง!
ปรากฏการณ์ “ทะลุมิติ” ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นพล็อตเรื่องที่ทรงพลังและสามารถครองใจผู้ชมได้อย่างสม่ำเสมอในวงการบันเทิงเอเชีย สองตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในยุคนี้คือ บุพเพสันนิวาส ละครไทยที่สร้างกระแส “ออเจ้า” ไปทั่วประเทศในปี 2561 และ Bon Appétit, Your Majesty (폭군의 셰프) ซีรีส์เกาหลีที่กำลังเป็นที่กล่าวขานบน Netflix ในปี 2568
แม้ทั้งสองเรื่องจะมาจากต่างวัฒนธรรม แต่กลับมี “สูตรสำเร็จ” บางอย่างที่คล้ายคลึงกันอย่างน่าทึ่ง ขณะเดียวกันก็ยังคงนำเสนอเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองได้อย่างโดดเด่น บทความนี้จะพาทุกท่านไปวิเคราะห์ถึงความเหมือน-ต่าง และแก่นแท้ที่ทำให้ละครและซีรีส์ทั้งสองเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
จุดร่วมที่เหมือนกัน: สูตรสำเร็จแห่งการทะลุมิติ
- หญิงสาวยุคใหม่ในโลกอดีต: ทั้ง การะเกด (ในร่างเกศสุรางค์) และ ยอนจียอง คือตัวแทนของหญิงสาวยุคปัจจุบันที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความรู้ พวกเธอต้องปรับตัวเข้ากับโลกอดีตที่เต็มไปด้วยขนบธรรมเนียมที่เคร่งครัด ซึ่งความ “แปลกแยก” ของพวกเธอนี่เองที่สร้างทั้งเสน่ห์และความขบขัน
- ใช้ทักษะจากอนาคตพลิกสถานการณ์: เกศสุรางค์ใช้ความรู้ด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ในการเอาตัวรอด ขณะที่ ยอนจียอง ใช้ทักษะการทำอาหารชั้นเลิศ นี่คือจุดที่ทำให้พล็อตน่าสนใจ เพราะมันคือการนำความรู้จากอนาคตมา “สร้างคุณค่า” และ “เปลี่ยนแปลง” โลกอดีต
- ความรักที่ข้ามผ่านกาลเวลา: หัวใจสำคัญของทั้งสองเรื่องคือความรักระหว่างนางเอกยุคใหม่กับชายสูงศักดิ์ในยุคอดีต หมื่นสุนทรเทวา และ กษัตริย์อีฮอน ตอนแรกมักจะมีอคติต่อนางเอก แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครของเธอกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้ง
- สอดแทรกวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์: ทั้งสองเรื่องทำหน้าที่เป็น “Soft Power” ได้อย่างยอดเยี่ยม บุพเพสันนิวาส ปลุกกระแสความสนใจในประวัติศาสตร์อยุธยา ส่วน Bon Appétit, Your Majesty นำเสนอความงดงามของอาหารชาววังเกาหลีได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
ครัวสองภพ: เมื่อ “อาหาร” เป็นมากกว่าเครื่องประทังชีวิต
จุดเชื่อมที่น่าสนใจที่สุดของทั้งสองเรื่อง คือการที่นางเอกใช้ “อาหาร” เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์ แม้ว่าจะมีเป้าหมายและวิธีการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
สำหรับ การะเกด ใน บุพเพสันนิวาส อาหารของเธอคือตัวแทนของ “วัฒนธรรมและความสัมพันธ์ในครัวเรือน” การทำ กุ้งเผาน้ำปลาหวาน หรือการแนะนำเมนูที่ไม่เคยมีใครรู้จักอย่าง “หมูกระทะ” ให้กับคนในบ้าน ไม่ใช่การทำอาหารเพื่อเอาตัวรอด แต่เป็นการสร้างความสุข, การเชื่อมสัมพันธ์กับบ่าวไพร่, และเป็นการแสดงออกถึงตัวตนของ “เกศสุรางค์” ที่มาจากยุคสมัยที่แตกต่าง มันคือการใช้ “อาหารบ้านๆ” เพื่อทลายกำแพงทางชนชั้นและสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นในเรือน
ในทางกลับกัน อาหารของ ยอนจียอง ใน Bon Appétit, Your Majesty คือ “เครื่องมือทางการเมืองและอำนาจในราชสำนัก” ทุกเมนูที่เธอรังสรรค์ขึ้นในห้องเครื่อง “ซูราซัง” ล้วนมีความหมายแฝง สามารถชี้เป็นชี้ตายและกำหนดทิศทางการเมืองได้ การทำอาหารของเธอจึงเต็มไปด้วยความกดดัน, ความสมบูรณ์แบบ, และเป็นบทพิสูจน์ความสามารถเพื่อเอาชนะใจกษัตริย์และเอาตัวรอดจากศัตรูที่รายล้อม
อาจกล่าวได้ว่า ครัวของการะเกดคือพื้นที่แห่งความสุขและความทรงจำ ในขณะที่ ครัวของยอนจียองคือสมรภูมิรบที่ใช้รสชาติเป็นอาวุธ ซึ่งสะท้อนโทนเรื่องที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน
แก่นแท้ของเรื่องราว: สิ่งที่ละครและซีรีส์ต้องการสื่อสาร
แก่นของบุพเพสันนิวาส: คือ “การเห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์และรากเหง้าของตนเอง” ละครเรื่องนี้ทำให้คนไทยหันกลับมาภูมิใจในประวัติศาสตร์ชาติไทย แสดงให้เห็นว่าอดีตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวในตำราเรียน แต่เป็นสิ่งที่หล่อหลอมปัจจุบันของเรา
แก่นของ Bon Appétit, Your Majesty: คือ “พลังของความสามารถที่สามารถทลายกำแพงแห่งชนชั้นและโชคชะตา” ซีรีส์เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในยุคสมัยที่เคร่งครัด แต่ความสามารถที่แท้จริงและจิตใจที่ดีงาม สามารถเปลี่ยนแปลงได้แม้กระทั่งหัวใจของกษัตริย์และสร้างที่ยืนให้ตัวเองได้
บทสรุป
บุพเพสันนิวาส และ Bon Appétit, Your Majesty คือข้อพิสูจน์ว่าพล็อต “ทะลุมิติ” ยังคงมีมนต์ขลังเสมอ ทั้งสองเรื่องใช้ “อาหาร” เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาด แต่ในขณะที่เรื่องหนึ่งใช้รสชาติอาหารเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ในครอบครัวและทำให้ประวัติศาสตร์มีชีวิตชีวา อีกเรื่องหนึ่งก็ใช้รสชาติอาหารเป็นอาวุธในเกมการเมืองอันเชือดเฉือน ซึ่งนี่คือเสน่ห์ที่แตกต่างและน่าประทับใจ ที่ทำให้ผลงานทั้งสองเรื่องเข้าไปนั่งในใจของผู้ชมทั่วเอเชียได้อย่างสง่างาม